วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

แกงไก่ใส่หน่อไม้




เครื่องปรุง


เนื้ออกไก่ 300 กรัม


หน่อไม้ซอยหั่นเส้น 1 กระป๋อง


น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ


ซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) 1 ½ ช้อนโต๊ะ


น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ


ใบโหระพา ¼ ถ้วย


ใบมะกรูด 5 ใบ


พริกสด 2 เม็ด


วิธีทำ


1. นำเนื้อไก่มาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำ


2. เปิดเตาที่ไฟแรง นำน้ำเปล่าใส่หม้อประมาณ 3 ถ้วย รอจนน้ำเดือด นำหน่อไม้เส้นลงไปต้มประมาณ 15 นาที


3. เทน้ำที่ต้มหน่อไม้ทิ้ง เปิดน้ำล้างอีกที สะเด็ดน้ำและพักไว้ จากนั้น นำใบโหระพา ใบมะกรูด และพริกสดไปล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วเด็ดใบโหระพาเป็นใบๆ ฉีกใบมะกรูดเอาเส้นกลางใบออก และหั่นพริกเฉียงๆ พักไว้


4. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำหัวกะทิใส่ลงในหม้อประมาณ ½ ถ้วย (ไม่ต้องคนกะทิก่อนเทนะคะ จะได้ส่วนบนเป็นหัวกะทิ) รอจนหัวกะทิเดือดก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงไป ผัดให้น้ำพริกกับกะทิเข้ากัน รอจนกะทิแตกมัน (หมั่นคนเป็นระยะนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวก้นจะไหม้)


5. เมื่อกะทิแตกมันได้ที่แล้วจึงใส่เนื้อไก่ที่หั่นไว้ลงไป ผัดจนไก่สุก ทะยอยเติมกะทิที่เหลือลงไปครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะประมาณ 3 ครั้ง


6. นำหน่อไม้เส้นที่ต้มแล้วลงไป คนให้เข้ากัน ใส่กะทิที่เหลือลงไปจนหมด ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) และน้ำตาลทราย จากนั้น รอจนกะทิเดือดอีกครั้ง จึงใส่ใบมะกรูด ใบโหระพา และพริกหั่นลงไป คนให้เข้ากัน ปิดเตาและยกลง
7. ตักแกงเผ็ดไก่ใส่หน่อไม้ใส่ชาม จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ
Tip: อาจจะเปลี่ยนจากเนื้อไก่ไปใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัวแทนก็ได้ ตามความชอบค่ะ

หมูหวาน+ข้าวคลุกกะปิ




เครื่องปรุง


เนื้อหมูสามชั้น 350 กรัม


ซีอิ้วขาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ


ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา


ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา


น้ำตาลปึก 3 ½ ช้อนโต๊ะ


หัวหอมแดง 3 หัว


น้ำเปล่า ½ ถ้วย


วิธีทำ


1. นำเนื้อหมูมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนหัวหอมแดงปลอกเปลือกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้น ซอยบางๆ พักไว้


2. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำน้ำเปล่าใส่หม้อต้มให้เดือด ใส่เนื้อหมูลงไป พอเนื้อหมูเริ่มสุกให้ใส่เครื่องปรุงคือ ซีอิ้วดำ ซีอิ้วขาว และซอสปรุงรสลงไป


3. คนเครื่องปรุงต่างๆ ให้เข้ากัน และเคี่ยวหมูไปประมาณ 30 นาทีโดยใช้ไฟอ่อนจนหมูนุ่ม


4. เมื่อหมูเริ่มนุ่มแล้วให้ใส่น้ำตาลปึกลงไป คนให้น้ำตาลละลายและเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 15 นาที จากนั้น ใส่หัวหอมแดงซอยลงไป


5. คนให้เข้ากัน จากนั้นก็ปิดเตา เตรียมไว้เสิร์ฟพร้อมข้าวคลุกกะปิได้เลยค่ะ




Tip: น้ำตาลปึกควรจะใส่ทีหลังเครื่องปรุงอื่นๆ ก็เพราะว่าถ้าใส่น้ำตาลเร็วเกินไป น้ำตาลจะไปรัดเนื้อหมูจะทำให้เนื้อหมูแข็งได้




ข้าวคลุกกะปิ


เครื่องปรุงข้าวสวย 4 ถ้วย


กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ


กระเทียมกลีบใหญ่สับละเอียด 4-5 กลีบ


น้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องเคียง


ไข่ไก่ 2 ฟองซีอิ้วขาว ½ ช้อนชา


แอ๊ปเปิ้ลเขียวลูกเล็ก 1 ลูก


หัวหอมแดง 3 หัว


กุ้งแห้งทอด ¼ ถ้วย


พริกสด 2 เม็ด


มะนาว 1 ลูก


ถั่วฝักยาว 8 ฝัก


วิธีผัดข้าว


1. ตั้งกะทะที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรง ใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อนให้นำกระเทียมสับลงไปเจียวจนเริ่มเหลืองและหอม


2. ใส่กะปิลงไปผัดกับกระเทียม พอกะปิเริ่มละลายให้นำข้าวสวยที่เตรียมไว้ลงไปผัด (แบ่งข้าวเป็น 2 ส่วนนะคะ เวลาคลุกข้าวกับกะปิจะได้คลุกทั่วกันง่าย)


3. ผัดข้าวกับกะปิจนกะปิคลุกกับข้าวจนทั่ว ปิดเตา ยกลงและพักไว้


วิธีเตรียมเครื่องเคียง:ไข่ฝอย


1. ตอกไข่ใส่ชาม ตีไข่ให้เข้ากัน (ไม่ต้องตีให้ขึ้นฟูมาก) ใส่ซีอิ้วขาวลงไปแล้วตีให้เข้ากันซักพัก จากนั้น ตั้งกระทะที่ไฟแรง ใส่น้ำมันลงไปประมาณ ½ ช้อนโต๊ะ กลิ้งกระทะให้น้ำมันเคลือบกระทะจนทั่ว เมื่อกระทะร้อนได้ที่แล้วให้เทไข่ลงไป รีบเอียงกระทะให้ไข่กลิ้งไปจนทั่วกระทะ


2. ทิ้งไว้ซักพักจนขอบของไข่เริ่มล่อนออกจากกระทะแล้วก็ให้เริ่มม้วนไข่จนหมดแล้วตักขึ้นพักไว้


3. นำไข่ที่ได้ไปหั่นเป็นฝอยๆ แล้วพักไว้




กุ้งแห้ง


ทอดตั้งกระทะที่ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันเริ่มร้อนให้นำกุ้งแห้งลงไปทอดจนกุ้งแห้งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็ตักขึ้นพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน


ผักต่างๆ


1. ปลอกเปลือกหัวหอมแดง เด็ดขั้วพริก นำไปล้างน้ำให้สะอาด ซอยหัวหอมแดงบางๆ ซอยพริกให้ละเอียด และหั่นมะนาวเป็นซีกเตรียมไว้


2. นำแอ๊ปเปิ้ลเขียวและถั่วฝักยาวมาล้างให้สะอาด ปลอกเปลือกแอ๊ปเปิ้ลเขียว ฝานบางๆ แล้วซอยเป็นเส้นๆ นำไปแช่ในน้ำเย็นผสมเกลือป่นประมาณ ½ ช้อนชา ประมาณ 5 นาทีแล้วนำไปล้างด้วยน้ำเปล่าและสะเด็ดน้ำออกเพื่อไม่ให้แอ๊ปเปิ้ลดำง่าย


3. นำถั่วฝักยาวมาตัดหัวตัดท้ายออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้น นำผักต่างๆ มาจัดใส่จานพร้อมเครื่องเคียงอื่นๆ เตรียมไว้สำหรับเสิร์ฟ


วิธีเสิร์ฟตักข้าวใส่จาน วางเครื่องเคียงต่างๆ ได้แก่ ไข่ฝอย กุ้งแห้งทอด แอ๊ปเปิ้ลซอย หอมแดงซอย ถั่วฝักยาวซอย และตักหมูหวานใส่ถ้วยเล็กๆ หรือจะราดลงไปบนข้าวเลยก็ได้ แล้วแต่ความชอบ จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ขนมครก


Ingredients (ส่วนผสม)

แป้งข้าวเจ้า (ใช้ข้าวขาวธรรมดา) อย่างดี 1/2 กิโลกรัม

หางกะทิสด 2 1/2 กิโลกรัม

น้ำตาลปี๊บ (น้ำตาลมะพร้าว) 2 ช้อนโต๊ะ


Method (วิธีทำ)

1. นำแป้งข้าวเจ้าเทลงภาชนะ ค่อยๆ เติมหางกะทิเบื้องต้นประมาณ 200 cc. คนแป้งกับหางกะทิให้เข้ากัน ถ้าแห้งไปค่อยๆ เติม และนวดจนกว่าเนื้อแป้งทั้งหมดจะเป็นก้อน มีความนิ่มของเนื้อแป้งกับหางกะทิพอประมาณ จากนั้นตักแบ่งออกไว้ต่างหาก 2 ช้อนโต๊ะ

2. นำแป้งที่เหลือนวดเข้าด้วยกันกับน้ำตาลปี๊บ โดยนำเนื้อแป้งค่อยๆ ผสมกับน้ำตาล และเหยาะหางกะทิลงไปพร้อมๆ กัน แล้วค่อยๆ นวดให้เนื้อแป้งเข้ากับน้ำตาลและหางกะทิ จนได้เนื้อแป้งผสมกับน้ำตาลปี๊บและหางกะทิจนเป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมหยอดเป็นเนื้อขนมครกส่วนแรก


Ingredients (ส่วนผสม)

หน้าขนมครก

แป้งขนมครกที่นวดและแบ่งไว้ในส่วนที่ 1 2 ช้อนโต๊ะ

หัวกะทิสด 1 กิโลกรัม

น้ำตาลทรายขาว 300 กรัม

เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ


Method (วิธีทำ)

1. นำเนื้อแป้งที่แบ่งไว้ใส่ลงในภาชนะแล้วละลายให้เข้ากับหัวกะทิ พร้อมใส่น้ำตาลทราย เกลือป่น คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันจนเป็นส่วนผสมเดียวกัน ส่วนผสมนี้ใช้เป็นหน้าขนมครก


วิธีหยอดขนมครก

1. ติดไฟใส่เตา (ใช้เตาถ่านขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางพอๆ กับเบ้าขนมครก) เมื่อถ่านในเตาติดไฟจนแดงหมดทุกก้อน (ควรใช้ถ่านก้อนเล็กๆ) นำเบ้าขนมครกตั้งบนเตา ใช้ลูกประคบชุบน้ำมันหมู เช็ดเบ้าขนมครกทุกเบ้าจนควันขึ้นอ่อนๆ นำลงจากเตาแล้วให้นำขี้เถ้าโรยบนเตาจนไม่เห็นก้อนถ่านจนทั่ว

2. นำเบ้าขนมครกตั้งไฟอีกครั้ง เช็ดน้ำมันออกจนเบ้าสะอาดแต่ยังมีน้ำมันเกาะอยู่ในเบ้า

3. พอร้อนได้ที่ ตักเนื้อขนมครกส่วนแรกหยอดลงเบ้า ก่อนตักให้คนเนื้อขนมครกที่เป็นแป้งละลายหางกะทิเสียก่อน เพราะเนื้อแป้งอาจนอนก้น การหยอดให้หยอดไป 3 ใน 5 ของเบ้า

4. จากนั้นหยอดส่วนที่เป็นหน้าขนมครกอีก 2 ใน 5 หรือจนเต็มพอดีกับเบ้าขนมครก เสร็จแล้วปิดฝาคอยจนเนื้อขนมครกสุก


แต่ถ้าเราต้องการใส่หน้าต่างๆ เช่น ต้นหอม ข้าวโพด มันต้ม เผือกต้ม ฝอยทอง หรืออื่นๆ ให้หยอดหลังจากหยอดเนื้อที่เป็นหน้าขนมครกส่วนที่ 2 นี่เอง


สูตรนี้จะใช้เตาถ่านและน้ำมันหมู เพื่อรสและกลิ่นของขนมครกที่ลงตัวจนเป็นสูตรเฉพาะตัวที่หลายคนติดใจ แต่ถ้าไม่สะดวกจะปรับแต่งเป็นเตาแก๊สหรือใช้น้ำมันพืชตามความสะดวกของท่านก็ได้

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน


เครื่องปรุง

๐ เนื้อหมูสับ 1/2 กิโลกรัม

๐ แผ่นก๋วยเตี๋ยวแผ่นใหญ่ 1 กิโลกรัม

๐ ซีอิ๋วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

๐ ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

๐ น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

๐ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา

๐ รสดี รสหมู 2 ช้อนโต๊ะ

๐ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

๐ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

๐ แครอทหั่น (สี่เหลี่ยมลูกเต๋า) 3 1/4 ถ้วยตวง

๐ โหระพา 7 กิ่ง

๐ เห็ดหอมส่วนดอกแช่น้ำ (หั่นเส้นกว้าง 1 ซ.ม.) 1/4 ถ้วยตวง

๐ เห็ดหูหนูสดหั่น (เท่าไม้ขีดไฟ) 1/2 ถ้วยตวง

๐ ไชโป๊วหวานสับหยาบ 1/4 ถ้วยตวง

๐ ผักชีไทย 5 ต้น

๐ ผักกาดหอม


วิธีทำไส้

1. หมักหมูกับซีอิ๋วขาว รสดี พริกไทย และน้ำตาลทราย นวดให้เข้ากัน หมักไว้อย่างน้อย 15 นาที

2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพอร้อน นำหมูที่หมักไว้ลงผัดพอสุก ใส่ซอสปรุงรส น้ำมันหอย และรสดี รสหมูที่เหลือผัดเคล้าให้ทั่ว ใส่เห็ดหูหนู เห็ดหอม ไชโป๊ว และแครอท ผัดต่อจนเข้ากัน ชิมรสออกเค็มหวานเล็กน้อย ผัดจนน้ำแห้ง ตักใส่จานพักไว้ให้เย็น


วิธีเตรียมแป้งก๋วยเตี๋ยวและผัก

1. แผ่นก๋วยเตี๋ยวแผ่นใหญ่ 1 กก. ขนาดกว้าง 12x16 นิ้ว

2. ตั้งลังถึงให้น้ำเดือดพล่าน นำแผ่นก๋วยเตี๋ยว ทั้งแผ่นใส่ถาดนึ่งประมาณ 10 นาที ยกลงปล่อยให้เย็น

3. ผักกาดหอมตัดเส้นกลางใบออก แล้วตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาด 1 1/2 x 1 1/2 นิ้ว ประมาณ 1 ต้นใหญ่

4. โหระพา 7 กิ่ง เด็ดเป็นใบๆ

5. ผักชีต้นใหญ่ 5 ต้น เด็ดเป็นช่อสั้นๆ


วิธีการห่อ


1. เลือกถุงพลาสติกขนาดใหญ่กว่าแผ่นก๋วยเตี๋ยว นำมาตัดขอบออกเป็นแผ่นใหญ่ วางถุงพลาสติกคลี่ออกบนโต๊ะที่ทำสะอาดเรียบร้อย

2. นำแผ่นก๋วยเตี๋ยวที่นึ่งแล้วมาพับครึ่ง ขนาด 12 x 18 นิ้ว ตัดตรงปลายออก 4 นิ้ว จะได้ขนาด 8 x 8 นิ้ว ทำห่อแบบปอเปี๊ยะทอดจะได้ 10 ชิ้น


การห่อแบบปอเปี๊ยะ


วางแป้งลงบนแผ่นพลาสติก วางผักกาดหอมลงตรงกลาง ให้เหลือริมแป้งไว้ด้านละ 2 นิ้ว วางเรียงไส้ตามลำดับ คือ ผักกาดหอม โหระพา ผักชี วางให้เสมอใบผักกาด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่พอประมาณเกลี่ยให้ทั่ว พับแป้งด้านข้างทั้ง 2 ด้านมาทับบนไส้ แล้วพับแป้งด้านล่างขึ้นทับพร้อมกับลอกแผ่นพลาสติก ค่อยๆม้วนให้แน่น (แบบข้าวห่อสาหร่าย) วางเรียงบนจานเสิร์ฟ 2-3 แท่ง แล้วแต่ความต้องการ ใช้มีดหั่นตามขวางพอคำ เพื่อสะดวกในการรับประทาน


เครื่องปรุงน้ำจิ้ม

๐ พริกขี้หนูสวนสีเขียวซอย 20 เม็ด

๐ พริกขี้หนูแบบยาวสีเขียวซอย 10 เม็ด

๐ กระเทียมกลีบเล็กหั่นหยาบๆ 20 กลีบ

๐ ใบโหระพาซอยหยาบๆ 1/2 ถ้วยตวง

๐ น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวง

๐ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

๐ น้ำเชื่อม (น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง ต้มจนน้ำละลาย พักให้เย็น)


วิธีทำน้ำจิ้ม


ปั่นกระเทียม ใบโหระพา พริกขี้หนูทั้งหมดให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่ในชาม เติมน้ำเชื่อม เกลือ คนให้เกลือละลาย ชิมรสเปรี้ยวเค็มหวาน


** น้ำจิ้มสามารถทำไว้ล่วงหน้าได้ โดยใส่ขวดแก้วแช่ในตู้เย็น รุ่งขึ้นน้ำจิ้มจะเข้มข้น ไม่มีกลิ่นใบโหระพา รวมทั้งใช้เป็นน้ำจิ้มอาหารทะเล นึ่ง ย่างได้ด้วย

เมี่ยงปลาทู



ส่วนผสม


ปลาทูทอด 2 ตัว


เส้นขนมจีน 300 กรัม


น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ


พริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ


น้ำมะนาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ


น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา


กระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ


ผักกาดหอม, ต้นหอม, ผักชี




วิธีทำ
-
โขลกพริกขี้หนูกับกระเทียมพอหยาบ ตักใส่ภาชนะ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ
- จัดเสริฟโดยวางเส้นขนมจีน และปลาทูทอดบนผักกาดหอม ราดน้ำยำ รับประทานเป็นคำ แกล้มด้วยต้นหอม ผักชี

หมูย่าง+ปิ้ง หมักพริกแกงพะแนง


ส่วนผสม


หมูเนื้อแดงติดมันบ้าง 500 กรัม

กะทิกล่อง (250 กรัม) 1 กล่อง

น้ำปลาดี 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา


วิธีทำ


1. นำน้ำพริกแกงที่โขลกไปผัดกับกะทิจนหอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ ยกขึ้นพักไว้ให้เย็น

2. ล้างเนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำเครื่องแกงที่ผัดปรุงรสแล้วมาหมักกับเนื้อหมูประมาณ 1 ชั่วโมง หมักไว้ในตู้เย็น จึงนำออกมาเสียบไม้แล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆ จนหมูสุกทั้งสองด้าน


ส่วนผสมน้ำพริกแกง


พริกขี้หนูแห้งเด็ดขั้วแช่น้ำจนนิ่ม 20 เม็ด

หอมแดงปอกเปลือก 3 หัว

กระเทียมแกะเปลือก 1 หัว

ตระไคร้หั่นฝอย 2 ต้น

กะปิดีเผาไฟ 1 ช้อนชา

ยี่หร่าคั่วป่น 1 ช้อนชา

รากผักชี 3 ราก

พริกไทยเม็ด 10 เม็ดลูก

ผักชีคั่วป่น 2 ช้อนชา

เกลือป่น 1/2 ช้อนชา


วิธีทำ


นำเครื่องปรุงทั้งหมดโขลกให้ละเอียด

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เค้กผลไม้




เค็กผลไม้


ส่วนผสม


แป้งขนมปัง 460 กรัม


แป้งเค็ก 150 กรัม


ผงฟู 2 ชช.


ผงโซดา 2 ชช.


เนยสด 300 กรัม


น้ำตาลทรายแดง 200 กรัม


น้ำตาลทราย 200 กรัม


เกลือ 2 ชช.


น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม 60 กรัม


ไข่ไก่ 8 ฟอง


นมข้นจืด 1 ถ้วยตวง


ผลไม้แช่อิ่มตามใจชอบหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ หมักกับเหล้ารัม แยมผิวส้มหมักไว้ประมาณ 4 วัน ก่อนนำมาใช้ 900กรัม


เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 100 กรัม




วิธีทำ


ร่อนแป้งทั้งสองชนิดรวมกับผงฟู พักไว้ตีเนยกับน้ำตาลทรายแดง น้าตาลทรายขาว โซดา เกลือจนขึ้นฟู หมั่นปาดครีมจากก้นอ่างอยู่เรื่อยๆ




ตีประมาณ 15 นาที แล้วค่อยๆเทน้ำผึ่งลงไปในอ่างผสมตีจนเข้ากันดีแต่อย่าให้นานมาก




แปดฟองใส่ในชาม คัดเอาแต่ไข่แดงใส่ลงไปก่อน แล้วค่อยใส่ไข่ขาวที่เหลือตามลงไปตีด้วยความเร็วปานกลางในทุกขั้นตอน จนเข้ากันดีพอเข้ากันดีแล้วเทออกจากอ่างผสม ลงในภาชนะที่เตรียมใว้ใส่แป้ง คนด้วยมือให้เข้ากัน สลับกับนมข้นจืด คนจนเข้าไม้แช่อิ่ม และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ที่อีกครั้งหนึ่ง ตักใส่พิมพ์ที่ทาเนยขาว รองด้วยกระดาษไขนำไปอบ ที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส ประมาณ 35 นาทีหรือจนกว่าจะสุกวิธีเช็คดูว่าเค็กสุกได้ที่แล้ว คือใช้ไม้จิ้มลงตรงกลางเค็กแล้วไม่เปียกขอบรอบๆพิมพ์เค็ก ไม่ติดพิมพ์ เป็นอันใช้ได้ วางบนตระแกรงพักเค็ก ตั้งพักไว้ให้เย็น


ผิวส้มบางๆ ตกแต่งด้วยผลไม้แช่อิ่มตามใจชอบค่ะ

เค้กกล้วยหอม


เค็กกล้วยหอม

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม

แป้งเค็ก 430 กรัมผงฟู 2 ชช.

ผงโซดา 1 1/2 ชช.

เกลือป่น 1 ชช.ทั้งหมดนี้ร่อนผ่านตระแกรงร่อนแป้งรวมกันแล้วพักไว้

เนยสด 400 กรัม

น้ำตาลทรายขาวชนิดเม็ดเล็ก 370 กรัม

ไข่ไก่ 6 ฟอง

นมข้นจืด 1 ถ้วย

**กล้วยหอมสุกงอม 4 ลูกบดในชามอ่างให้ละเอียดพักไว้กลิ่นวนิลา 1 ชช. เทลงไปในอ่างกล้วยหอมได้เลย

**วิธีทำตีเนยกับน้ำตาลในอ่างผสม จนขึ้นฟูขาวใช้เวลาประมาณ 15 นาที

**ตีจนขึ้นฟูขาว ระหว่างตีก็หมั่นปาดครีมจากขอบอ่างผสมให้ถึงก้นอ่างผสมด้วยพายยาง เพื่อให้ส่วนผสม

เข้ากันเป็นระยะ

**หลังจากนั้นก็ค่อยๆใส่ไข่ลงไปทีละฟอง จนครบ ตีให้เข้ากันดีก่อน ด้วยความเร็วปานกลางแล้วจึงค่อยๆเทกล้วยหอมบดลงในอ่างผสม ตีต่อไปจนเข้ากันสักครู่ แต่ไม่นานจนเกินไปเอาแค่พอเข้ากันจากนั้นใส่แป้งที่ร่อนรวมไว้กับผงฟู ผงโซดา เกลือ ใส่ลงไปสลับกับนม คนเบาๆให้เข้ากันดีจนหมดเริ่มด้วยตักแป้งใส่ลงไปคนเบาๆ พอเริ่มเข้ากันเติมนม สลับด้วยแป้ง และจบลงด้วยแป้ง เป็นอันเสร็จ

**อุ่นเตาอบไว้ในอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียสจนคงที่ ก่อนนำเข้าอบ 15 นาทีตักลงใส่พิมพ์ขนม ที่ทาเนยขาวไว้บางๆนำเข้าอบไฟ 175 องศาเซลเซียส สำหรับเค็กถ้วยประมาณ 15 นาทีส่วนเค็กในถาดสี่เหลี่ยมตามภาพ ใช้เวลา 25 - 30 นาที

ขนมตาล


ส่วนผสม


ลูกตาลสุก 1 ผล
ข้าวสารเก่า 2 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้าวท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา


วิธีทำ
1.ลอกเปลือกลูกตาลออกให้หมด ขูดเอาเนื้อสีเหลืองออก ตัวลูกตาลแช่น้ำไว้จนเนื้อลูกตาลละลายออกหมด ใช้ผ้าห่อเนื้อลูกตาล และน้ำที่ละลายผูกมัดปากรวมไว้ให้แน่นแขวนหรือทับไว้ให้แห้ง
2.โม่ข้าวสารที่แช่น้ำไว้ให้ละเอียด แล้วทับให้แห้ง 3.ผสมข้าวสารที่โม่และทับจนแห้งแล้ว รวมกับแป้งท้าวยายม่อม และลูกตาลที่ทับจนแห้งแล้วนวดส่วนผสมทั้งหมด เข้าด้วยกันจนแป้งที่ผสมเนียนและนุ่มมือ(ประมาณ 30-60 นาที)ใส่น้ำตาลสลับกับหัวกะทิ นวดจนหัวกะทิและน้ำตาล ละลายหมด พักไว้ประมาณ 5-10 ชั่วโมง 4.ตักแป้งที่ผสมแล้วใส่กระทงหรือถ้วยตะไล โรยมะพร้าว แล้วนึ่งให้สุกยกลงถ้าใส่ถ้วยตะไลรอให้เย็นก่อนแล้วจึงนำออกจากถ้วยจัดใส่ภาชนะ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำจิ้มซีฟู้ดส์

สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด สูตร 1 อาหารทะเลทั่วไป อยากจิ้มอะไรก็จิ้ม
พริกขี้หนูสวนสีเขียวและแดง 19 เม็ด
พริกขี้หนูสีเขียวเม็ดใหญ่ 6 เม็ด
พริกขี้หนูสีแดงเม็ดใหญ่่ 15 เม็ด
กระเทียมแกะเปลือก 1/2 ถ้วยตวง (อย่าขี้เกียจแกะนะ)
รากผักชีขนาดกลางๆหั่น 1 ช้อน
เกลือทะเลเน้นทะเล 1 ช้อนโต๊ะ 1 ช้อนชา
อิอิอิน้ำตาลทรายนะจ๊ะ 2 ช้อนโต๊ะ 1 ช้อนชา
**อยากได้หวานกว่านี้ก็ได้แล้วแต่คน สำหรับคนหวานน้อย ก็ใส่เยอะๆจะได้หวานๆ
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย หรือเยอะกว่า ระวังเปรี้ยวแก้ไม่ได้เน้อ
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
หาเครื่องปั่นเครื่องบด มา 1 เครื่อง เสียบปลั๊กกัับพริกที่เป็นตัวประกันทั้งหมด โยนมันลงไปตามด้วยตัวประกันที่เหลือ ได้แก่ กระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาล มะนาวแล้วบันเลงประหารชีวิตมันทั้งหมดแต่อย่าให้มันไม่เหลือซากนะ แค่พอหยาบๆ แล้วจัดการหาอ่างหรือกะละมังใส่น้ำสุกลงไปผสม แล้วจัดการหาไม้พาย หรือช้อนก็ได้นะ ถ้ายุ่งยาก คนให้เข้ากัน ชิม ครับ ที่นี้ก็จัดการชิม ว่ารสชาดต้องเปรี้ยว เค็ม หวานเล็กๆ อย่าหวานใหญ่่ๆนะ แค่นี้ คุณก็จะได้ น้ำจิ้ม เลิศศศศศศศ ไว้จิ้ม อาหารทะเล

น้ำจิ้มสุกี้

น้ำจิ้มสุกี้ส่วนผสม
เต้าหู้ยี้ชนิดแดง 4 ชิ้น
กระเทียมดองหั่นบางๆ 2 ชต
น้ำส้มสายชู 6 ชต
น้ำตาลทราย 2 ชตเกลือป่น 1 ชช
พริกชี้ฟ้าแดงป่นละเอียด 2 ชต
งาขาวคั่วเหลืองบุพพอแตก 1/2 ชต
ผักชีหั่นฝอย 1 ชต
น้ำต้มเนื้อ 2 ชต
วิธีทำ
1. นำกระเทียมดองมาโขลกให้ละเอียด ใส่พริกชี้ฟ้าแดงและเต้าหู้ยี้โขลกรวมกันให้ละเอียด
2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือป่น และน้ำซุป คนให้เข้ากัน ใส่ผักชี งาขาวคนให้ทั่ว

สูตรน้ำจิ้มสุกี้ เอ็มเเเค
ซอสพริกศรีราชา (รสเผ็ดกลาง) 5 ชต
น้ำตาลทราย 1 ชต
น้ำปลา 2ชต
น้ำมันหอย 2 ชช
งาขาวคั่ว 1/2 ชต
น้ำมันงา 1ชต

เอาส่วนผสมทั้งหมดตั้งไฟ ยกเว้น งาขาวคั่วกับน้ำมันงา คนให้เข้ากัน ยกลง ใส่น้ำมันงา และงาขาวคั่ว ตามด้วยผักชีหั่นโรยหน้า ใส่กระเทียมสับ พริกขี้หนู มะนาว ตามชอบสูตรนี้สำหรับ 1 คนจ๊ะ เพิ่มสูตรเอาตามเหมาะสมนะจ๊ะ เพราะเพื่อนพี่สาวให้สูตรมาแบบนี้ เคยทำทานแล้วก็พอปลื้มแหละน้อง....

รวม Web ทำอาหาร

www.thaigoodview.com

www.kruaklaibaan.com

ส่วนตัวเจ้าของเวบคะ....เอาไว้ดูเผื่อไม่มีโปรแกรมภาษาไทยให้ใช้ ยังไงก้ออนุญาตเจ้าของ link ไว้ ณ ที่นี้ด้วยละคะ

น้ำพริกไก่นึ่ง

เครื่องปรุง

เนื้ออกไก่ 1 / 2 ถ้วย
มะเขือยาวลูกเล็ก 1 ลูก
พริกชี้ฟ้าเขียว แดง เหลือง 6 - 8 เม็ด
หอมแดงเผา 6 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
น้ำปลาดี 3 - 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 - 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นึ่งเนื้ออกไก่ให้สุกหั่นเป็นชิ้น ๆ โขลก
2. เผาพริก หอม กระเทียม มะเขือยาว ปอกเปลือกแล้วนำไปโขลก ใส่เนื้อไก่โขลกให้เข้ากัน
3. ปรุงรสด้วย น้ำปลา มะนาว ไม่ต้องใช้น้ำตาล เพราะมะเขือยาวจะมีรสหวานอยู่แล้ว ชิมรสตามชอบโรยด้วยงาคั่ว รับประทานกับ ผักต้ม ผักสด และไข่เค็มหรือไข่ต้ม

น้ำพริกเนื้อแดดเดียว

เครื่องปรุง

เนื้อเค็มย่าง (ฉีกเป็นเส้นฝอย) 3ช้อนโต๊ะ
กะปิดีห่อใบตองเผาไฟ 1ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสวน 15เม็ด
กระเทียม 1หัว
มะอึก 1ลุก
มะเขือพวง 10เม็ด
น้ำมะนาว น้ำปลาดี น้ำตาลปี๊บ ตามสมควร

วิธีปรุง
นำกะปิดี กระเทียม พริกขี้หนูสวน เนื้อเค็ม มะอึกขูดขนแล้วหั่นละเอียดก่อนใส่ครก โขลกให้ละเอียด ใส่มะเขือพวงลงโขลกพอบุบไม่ต้องละเอียดนักคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ ชิมรสให้เข้มข้น รับประทานกับผักสดๆ เช่น ยอดกระถิน แตงกวา ยอดชะอม มะเขือ ถั่วฝักยาว ขมิ้นขาว ถั่วพู สะตอ หรือจะคลุกเคล้ากับข้าวสวยร้อนๆ ก็ได้

น้ำพริกหนุ่มหมูสับ

เครื่องปรุง

หมูสับหรือหมูบด 1 / 2 ถ้วย
พริกหนุ่ม 12 - 15 เม็ด
มะเขือเทศ 5 - 7 ลูก
กระเทียม 5 หัว
หอมแดง 5 หัว
ปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 - 2 ช้อนชา
น้ำปลา 2 - 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 - 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. เผาพริกหนุ่ม หอม กระเทียม
2. ปลาร้าเลาะเอาแต่เนื้อสับให้ละเอียด
3. โขลกพริก หอม กระเทียม ให้ละเอียด ใส่มะเขือเทศ ลงโขลกด้วย ปรุงรส น้ำตาล น้ำปลา
4. ตั้งกะทะ ใส่หมูลงผัด ใส่เครื่องน้ำพริก ใส่ปลาร้า ผัดจนสุกปิดไฟ ใส่น้ำมะนาว ยกลง ชิมรสตามชอบ รับประทานกับผักสด ผักทอด แคบหมู หมูทอด

น้ำพริกหนุ่มสูตรดั้งเดิม

เครื่องปรุง

พริกชี้ฟ้าปิ้งไฟฉีกเป็นเส้น 20เม็ด
เกลือป่น 1ช้อนชา
ผงชูรส (หรือน้ำตาลทราย) 1ช้อนโต๊ะ

วิธีปรุง
นำพริกชี้ฟ้าที่ฉีกไว้ใส่ครก โขลกเบาๆ จนพริกนุ่มและเหลว โรยเกลือป่นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ผงชูรสหรือน้ำตาลทรายเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง ชิมรสตามต้องการ รับประทานกับข้าวเหนียว หรือเนื้อเค็มย่างหรือถ้าไม่ชอบรับประทานกับผักสด ผักลวก หรือข้าวสวยร้อนๆ ก็ได้ไม่ผิดกติกาหรือหมูหวาน หรือกุ้งแห้งหวานก็อร่อยเด็ดแล้ว

น้ำพริกมะม่วงเปรี้ยว

เครื่องปรุง

มะม่วงดิบ (เปรี้ยวๆ) 1ผล
กุ้งแห้งป่น 1/2ถ้วย
พริกขี้หนูสวน 15เม็ด
กะปิดีห่อใบตองเผาไฟ 1ช้อนโต๊ะ

วิธีปรุง
ปอกมะม่วงแล้วสับๆ ซอยละเอียดโขลกกับพริกขี้หนูที่เด็ดก้านออกแล้ว กระเทียม กะปิดีเผา ให้พอหยาบๆ ไม่ต้องละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ เติมน้ำสุกเล็กน้อย ชิมรสตามต้องการ เสร็จตักใส่ถ้วย รับประทานกับผักสดหรือข้าวสวยร้อนๆ หรือหมูหวาน หรือกุ้งแห้งหวานก็อร่อยเด็ดแล้ว

น้ำพริกปลาทูทอด

เครื่องปรุง

ปลาทูทอด 2 ตัว
หอมเผา 5 - 7 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
พริกชี้ฟ้าเขียว แดง เหลือง เผา 6 - 8 เม็ด
น้ำปลา 2 - 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 2 - 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำสุก 2 - 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. โขลกพริกชี้ฟ้า หอม กระเทียม (ถ้าชอบเผ็ดให้เผาพริกขี้หนูเพิ่ม แล้วโขลกพร้อมกัน)
2. ปลาทูแกะเอาแต่เนื้อ ใส่ลงโขลกกับเครื่องน้ำพริก ปรุงรสด้วย น้ำตาล น้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำต้มสุก ชิมรสดู ถ้าปลาทูเค็มอาจใช้น้ำปลาน้อย
3. รับประทานกับ ผักสด ผักต้ม หรือ ผักดอง เข่น ผักเสี้ยน ถั่วงอก หรือ ต้นหอม

น้ำพริกปลากระป๋อง

เครื่องปรุง

ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ 1 กระป๋อง
หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. เทปลากระป๋องใส่หม้อ ยีเนื้อปลา ตั้งไฟต้มให้เดือด
2. ยกลงจากเตา ใส่หอมแดง พริกขี้หนู เคล้าให้ทั่ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว หรือจะโรยพริกป่นด้วยก็หอมดี
3. เสิร์ฟกับผักต้ม เช่นมะเขือเปราะ ดอกแค ยอดแค ผักบุ้ง ฟักทอง มะระอ่อน

น้ำพริกถั่วปลานึ่ง

เครื่องปรุง
พริกแห้ง 5 เม็ด
ถั่วลิสงคั่ว 1 / 2 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1 หัว
น้ำตาลปีบ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
ปลาสำลี หรือปลาช่อนตัวกลางๆ 1 ตัว
ผักกาดหอม 3 ต้น
ตั้งโอ๋ 5 - 6 ต้น
ต้นหอม 5 ต้น
แตงกวา 6 - 7 ลูก
ผักชี 2 - 3 ต้น

วิธีทำ
1. ตำพริกกับเกลือให้ละเอียด ใส่กระเทียม ใส่ถั่วลิสงโขลกให้ถั่วแตกไม่ต้องละเอียดนัก ใส่น้ำตาลปีบ น้ำมะนาว ตักออกใส่ชาม ชิมรสเผ็ด เปรี้ยว หวาน ให้กลมกล่อม
2. ขอดเกล็ดปลาขูดเมือกเอาไส้ออก ล้างน้ำเช็ดให้แห้ง ทาปลาด้วยน้ำมะนาว ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้ทั่วตัวปลา ตำกระเทียม 1 หัว ใส่เข้าไปในท้องปลา ตั้งลังถึงให้น้ำเดือด วางปลาลงในจาน ยกใส่ในลังถึงขณะที่น้ำเดือด นึ่งประมาณ 20 นาที หรือจนปลาสุก จึงเอาออก
3. ล้างผัก ตัดราก ผักกาดหอมเอาออกเป็นใบๆ หั่นแตงกวาเป็นแว่นหนาๆ วางผักกาดหอม ตั้งโอ๋ ผักชี ต้นหอม และแตงกวาลงในจานเปล และวางปลาลงในจานวางถ้วยน้ำพริกลงข้างจานเป็นใช้ได้

น้ำพริกกุ้งสดสูตร 2

เครื่องปรุง
เนื้อกุ้งนางสับ 1 / 2 ถ้วย
กะปิ 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 6 - 8 กลีบ
พริกขี้หนู 8 - 10 เม็ด
มะเขือพวง 2 ช้อนโต๊ะ
มะอึกซอย 1 ช้อนโต๊ะ
มะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ 1 ช้อนชา
น้ำปลา 1 - 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. เนื้อกุ้งนางสับกึ่งหยาบกึ่งละเอียด
2. กะปิห่อเผาไฟให้หอม
3. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม ให้พอแหลก ใส่มะเขือพวงบุบพอแตกใส่กะปิ เนื้อกุ้งนาง เคล้าให้เข้ากัน ใส่มะอึก น้ำตาล น้ำปลา มะนาว ชิมรส ตามชอบ
4. เสิร์ฟพร้อมผักสด ผักราดกะทิ และกุ้งนึ่ง

สูตรพุดดิ้งแบบไม่ต้องเอาเข้าตู้อบ




สูตรพุดดิ้งแบบไม่ต้องเอาเข้าตู้อบ สูตรที่1 สูตรพุดดิ้งมะม่วง
ส่วนผสม


1-นมสด 2 dl


2-น้ำมะนาว 1/2 dl


3-น้ำตาลทราย 1 ถึง 1 1/2 dl. ถ้าไม่ชอบหวาน ให้ลดน้ำตาล


4-น้ำผึ้ง 2 ชต.


5-เนื้อมะม่วงสุก ชนิดหวาน 1 ลูกใหญ่ ราว 3 dl.


6-แผ่นเจลาติน 3 แผ่น 1/2 ครึ่ง (1 1/2 dl. เท่ากับ 1 แผ่นเจลาติน)แช่น้ำให้นิ่ม


7-นมสด 1 dl. สำหรับมาต้มกับแผ่นเจลาติน


วิธีทำ


1-เอานม 2 dl. +น้ำมะนาวมาผสมกันให้เข้ากัน


2-เอามะม่วงมาปอกเปลือกแล้วเอาแต่เนื้อมะม่วงมาปั่นให้ละเอียด


3-เอานม ที่ผสมน้ำมะนาว มาผสมลงไป เติม น้ำตาล น้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน หรือจะปั่นอีกรอบก็ได้


4-เอา นม1 dl. ใส่หม้อ ตั้งไฟปานกลาง พอเริ่มร้อน ก็เอาแผ่นเจลาตินที่แช่จนนิ่มแล้ว ใส่ลงไปในหม้อนม แล้วคนให้ เจลาตินละลายดีแล้วยกขึ้น พักให้เย็น แล้วเทลงไปในส่วนผสมที่3 (มะม่วงปั่น)คนให้เข้ากันดีแล้วเทใส่พิมพ์ แล้วแช่ตู้เย็น 1 คืน ก็เอามาทานได้


สูตรพุดดิ้งแบบไม่ต้องเอาเข้าตู้อบ สูตรที่2 สูตรช็อกโกแลตพุดดิ้ง
ส่วนประกอบ

• นมพร่องมันเนย 1 3/4 ถ้วย

• แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ

• ครีมข้น (Heavy Cream) 1/4 ถ้วย

• น้ำตาลทรายแดง 6 ช้อนโต๊ะ

• เกลือ 1/4 ช้อนชา

• กลิ่นวานิลลา 1 1/4 ช้อนชา

• ช็อคโกแล็ตชนิดไม่หวานขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส 3 ชิ้น (นำมาสับละเอียด หรือใช้ผงโกโก้ 4 ช้อนโต๊ะ)


วิธีทำ

• นำนมไปต้มในกระทะพอเดือด ผสมแป้งข้าวโพด เกลือน้ำตาล และครีมในชาม คนให้เข้ากัน

• นำส่วนผสมที่ได้ไปเทลงในนมที่ต้มอยู่ เปิดไฟอ่อน จนกระทั่งส่วนผสมเหนียวข้น คนต่อไปอีก 2-3 นาที

• เติมวานิลลาและช็อคโกแล็ต (หรือโกโก้) คนจนละลาย เทาใส่แก้วที่ใช้สำหรับเสิร์ฟ และนำไปแช่เย็น (ถ้าใช้ผงโกโก้ ควรนำไปละลายน้ำร้อน 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนผสม)

หอยทอด[ THAI FRIED MUSSELS WITH EGG ]



* หอยแมลงภู่ 10 - 15 ตัว
* ไข่ไก่ 1 ฟอง
* แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
* แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปูนใส 1 ช้อนโต๊ะ
* กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
* ซิอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
* ถั่วงอก 1/2 ถ้วยตวง
* พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
* ต้นหอมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันพืช
* ผักชี (สำหรับแต่งอาหาร)

เครื่องปรุงน้ำจิ้ม :
* ซ๊อสพริก 1/4 ถ้วยตวง, น้ำตาล 1/2 ช้อนโต๊ะ,
เกลือ 1/4 ช้อนชา, น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ,
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ล้างหอยแมลงภู่ในน้ำสะอาด จากนั้นนำไปลวกในน้ำเดือดจนเกือบสุก จึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ แกะเปลือกออกเตรียมไว้
2. ในชามขนาดกลาง, ผสมแป้งมัน, แป้งข้าวเจ้า, น้ำปูนใสและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายและเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ตั้งน้ำมันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นเทน้ำแป้งลงในกระทะและใส่หอยแมลงภู่ลงไป อย่าคนหรือพยายามกลับหน้าจนกว่าจะเกือบสุก
4. ใส่ไข่ไก่ลงไปบนแป้งในกระทะ ทอดจนเหลืองกรอบจึงกลับหน้าไปทอดอีกข้าง เมื่อสุกทั่วแล้วจึงปิดไฟ และตักใส่จานเสริฟ
5. ตั้งน้ำมันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง ใส่กระเทียมและผัดจนหอม จากนั้นจึงใส่ถั่วงอก, ต้นหอม, ซิอิ๊วและน้ำตาลลงไป ผัดจนส่วนผสมเข้ากันและสุกทั่ว จึงตักใส่จานเสริฟ (ข้างหอยทอดที่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วในขั้นตอนที่ 4)
6. เหยาะพริกไทยลงไปนิดหน่อยและแต่งหน้าด้วยผักชี เสริฟทันทีขณะยังร้อนพร้อมน้ำจิ้มที่เตรียมไว้
วิธีการทำน้ำจิ้ม : ผสมเครื่องปรุงน้ำจิ้มในหม้อเล็กๆ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนเดือด จากนั้นจึงตักใส่ถ้วยน้ำจิ้มเตรียมไว
(สำหรับ 2 ท่าน)

ลาบหมู[ GROUND PORK SALAD ]


* หมูสับ 350 กรัม
* ใบสาระแหน่ 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
* ต้นหอมซอย 3 ช้อนโต๊ะ
* ผักชีหั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
* พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาล 0.5 ช้อนชา
* หอมแดงหั่นหยาบ 0.5 ถ้วยตวง
* น้ำซุปไก่ 1 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* กะหล่ำปลี 0.5 ลูก (หั่นเป็นเสี้ยว)

* ถั่วฝักยาว 5 ต้น (หั่นเฉียง)

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ต้มน้ำในหม้อเล็ก ใส่หมูสับและต้มต่อไปอีก 2 นาที ระหว่างต้มใช้ทัพพีเขี่ยให้หมูแยกออกจากกัน เมื่อหมูสุกดีแล้วจึงปิดไฟ และเทน้ำออก
2. นำหมูที่สุกแล้วไปใส่ในชามขนาดกลาง เติมหอมแดง, ต้นหอม, ผักชี และใบสาระแหน่ (เหลือนิดหน่อยไว้แต่งหน้า) ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว, น้ำปลา, ข้าวคั่ว, พริกป่นและน้ำตาล คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน
3. ตักใส่จาน แต่งข้างจานด้วยผักสด (กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว) โรยหน้าด้วยใบสาระแหน่ เสริฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ (หรือข้าวสวย)
(สำหรับ 2 ท่าน)

ส้มตำไทย THAI PAPAYA SALAD


* มะละกอดิบหั่นฝอย 2 ถ้วยตวง
* แครอทหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง
* ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วยตวง (หั่นความยาวประมาณ 1" )
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
(ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทรายแทนได้)
* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
* มะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นครึ่ง)
* กุ้งแห้ง 1/3 ถ้วยตวง
* ถั่วลิสง 1/4 ถ้วยตวง
* พริกขี้หนู 10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความต้องการ)
* กระเทียมสด 5 กลีบ


วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ใส่กระเทียมและพริกลงในครก ใช้สากตำพอแหลก จึงใส่กุ้งแห้งและตำต่อไปอีกสักพัก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ ตำต่อจนน้ำตาลละลาย จึงใส่มะละกอฝอย, แครอทฝอย, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว จากนั้นจึงตำต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเคล้ากันทั่ว
3. ปรุงรสให้ถูกปากด้วย น้ำตาล, น้ำปลา หรือน้ำมะนาวเพิ่ม รสดั้งเดิมจะมีรสหวาน, เผ็ด และเปรี้ยวพอๆกัน

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ต้มยำกุ้ง


เครื่องปรุง

กุ้ง 7-8 ตัว

เห็ด 350 กรัม

ตะไคร้ 1 ต้น

ใบมะกรูด 7-8 ใบ

ผักชี 2 ต้น

พริกสด 5 เม็ด

ซีอิ้วขาว (น้ำปลา) 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำซุปไก่ 5 ถ้วย

วิธีทำ

1. นำกุ้งและเห็ดมาล้างให้สะอาด ปลอกเปลือกกุ้ง ผ่าหลังเอาเส้นดำออก ส่วนเห็ดนำมาผ่าเป็น 4 ส่วน
2. นำตะไคร้ ใบมะกรูด พริกสด และผักชีมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นตะไคร้เฉียงๆ ฉีกใบมะกรูดเอาเส้นกลางใบออก ทุบพริกแล้วหั่นเป็นท่อน ส่วนผักชีนำมาหั่นหยาบๆ
3. เปิดเตาที่ไฟแรงปานกลาง นำน้ำซุปใส่หม้อ รอจนเดือดจึงใส่ตะไคร้และใบมะกรูดลงไป เคี่ยวไปประมาณ 5 นาที
4. ใส่เห็ดและกุ้งลงไป รอจนเดือดประมาณ 2-3 นาทีจึงปิดเตา
5. ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่างๆ คือซีอิ้วขาว (น้ำปลา) น้ำมะนาว น้ำพริกเผา และพริกทุบ ชิมรสตามชอบ ใส่ผักชีโรยหน้า คนให้เข้ากัน
6. ตักต้มยำกุ้งใส่ถ้วย จากนั้นก็ยกเสริฟได้เลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เมี่ยงคุณนาย


ส่วนประกอบ
เส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ (แบบยังไม่ตัด) 300 กรัม
เต้าหู้แข็งหั่นเส้น200 กรัม
เห็ดหูหนูดำหั่นเส้น50 กรัม
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำหั่น50 กรัม
เห็ดหอมแช่น้ำหั่น 30 กรัม
ซอสเห็ดหอม1 ช้อนชา
ผักสลัด30 กรัม
แครอท30 กรัม
มะเขือเทศ30 กรัม
ผักกาดหอม50 กรัม

ถัวลิสง50 กรัม


วิธีทำ

1. หั่นเต้าหู้เป็นเส้นตามความยาวของเต้าหู้ หนาประมาณ 1 ซ.ม. * 1 ซ.ม. แล้วนำไปทอดพอเหลืองพักไว้

2. ลวกเห็ดหูหนูดำและเห็ดหูหนูขาว พอสุกพักไว้

3. ผัดเห็ดหอมกับน้ำมัน พอหอมปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม พอเข้ากันพักไว้

4. แผ่เส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาเรียง บนเส้นก๋วยเตี๋ยว ตามด้วยผักสลัดที่เตรียมไว้ แล้วม้วนให้เป็นแท่ง เวลาม้วนต้องระวังอย่าให้เส้นก๋วยเตี๋ยวขาด และพยายามม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวให้แน่น

5. ตัดเป็นคำๆ จัดเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม


ส่วนผสมน้ำจิ้ม

พริกขี้หนูน้ำมะนาวเกลือน้ำตาลทรายพริกชี้ฟ้าเขียวสับพริกชี้ฟ้าแดงสับ

วิธีทำน้ำจิ้ม

ตำน้ำพริกขี้หนูให้ละเอียด ผสมกับน้ำมะนาว เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำ คนให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้าสับ ตั้งไฟพอเดือด ทิ้งให้เย็น

ข้าวอบชีส


ส่วนผสม
ข้าวกล้องหุงสุก1 ถ้วย
ลูกเดือยต้มสุก2 ถ้วย
ผักขม100 กรัม
เนยสด3 ช้อนโต๊ะ
ชีส200 กรัม
นมสด1 ถ้วยตวง
เกลือป่น1/4 ช้อนชา
แป้งสาลี2 ช้อนชา


วิธีทำ

1. หั่นผักขมหยาบๆ ลวกผ่านน้ำเย็น บีบน้ำออกพักไว้

2. แบ่งชีสเป็น 2 ส่วน หั่นหยาบ

3. ตั้งกระทะไฟอ่อนในเนยสด พอเนยสดละลาย โรยแป้งสาลีให้ทั่วกระทะ ผัดแป้งให้เข้ากับเนย เติมนมสด เกลือป่น คนให้เข้ากัน จะได้ซอสขาวใส่ชีส 1 ส่วน คนให้เข้ากัน

4. ใส่ข้าวกล้อง ลูกเดือย ผักขม ผัดให้เข้ากัน ตักใส่ชามทนไฟ เกลี่ยให้เสมอ โรยหน้าด้วยชีสส่วนที่เหลือ

5. นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 10-15 นาที หรือจนชีสละลายเป็นสีเหลืองทอง นำออกเสิร์ฟทันที

Coconut สมูทตี้


สิ่งที่ต้องเตรียม

น้ำมะพร้าว 125 กรัม

น้ำเชื่อม 100 กรัม

วิปปิ้งครีม ตรา มารีน่า 100 กรัม

น้ำแข็งบดละเอียด 2 ถ้วยตวง

เหล้ามาลิบู 2 ออนซ์

เนื้อมะพร้าว 50 กรัม

ผลไม้รวมรองก้นแก้ว (ฟรุตคอกเทล)


วิธีทำ- นำส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นจนละเอียดทั่วดี เทใส่แก้วที่รองด้วยผลไม้รวม พร้อมรับ

สลัดโยเกิร์ตผลไม้


ส่วนผสม

แอปเปิ้ล 2 ชิ้น

แก้วมังกร 2 ชิ้น

มะม่วงสุก ½ ลูก

ส้ม 3 กลีบ

มะละกอ 3 ชิ้น

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย

ธัญญาหารรวม ตามชอบ


เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้วก็มาถึงวิธีทำคือ


ขั้นแรกนำผลไม้ทุกชนิดมาหั่นให้ได้ขนาดพอดีคำ เสร็จแล้วใส่ถ้วยหรือจานก็ได้ แล้วนำโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่แช่เย็นไว้มาราดลงบนผลไม้ แล้วโรยหน้าด้วยธัญญาหารรวม(Mix Cereal) หรือจะเป็นลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมมพานต์ก็เข้าท่า เพียงเท่านี้ก็จะได้ “สลัดโยเกิร์ตผลไม้” ไว้กินเล่นดับร้อน แต่ทั้งนี้ผลไม้ที่ใช้อาจเปลี่ยนได้ตามความชอบ

บลูเบอรี่ชีสพาย


ส่วนผสมของ “บลูเบอรี่ชีสพาย” ประกอบไปด้วย

ขนมปังกรอบ ABC 250 กรัม

เนยสดละลาย 1 ก้อน

น้ำตาลไอซิ่งร่อน 1/2 ถ้วย

ครีมชีส 450 กรัม

ครีมข้น 1 กระป๋อง

นมข้นหวาน 3/4 ถ้วย

น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

บลูเบอรี่ 1 กระป๋อง


ส่วนวิธีทำก็อย่างที่บอกว่าไม่ยาก


เริ่มจากป่นขนมปังกรอบหยาบๆ ใส่น้ำตาลไอซิ่ง เคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็หันไปหั่นเนยเป็นชิ้นเล็ก นำไปตั้งไฟให้เนยละลาย พอได้ที่ก็จัดแจงนำขนมปังกับน้ำตาลไอซิ่งมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แบ่งที่ผสมไว้ออกเป็น 3 ส่วนเพื่อทำเป็นถาดแป้ง กรุใส่พิมพ์ฟอยล์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 นิ้ว นำเข้าตู้เย็นประมาณ 1/2 - 1 ชั่วโมง ระหว่างที่รอก็ตีครีมชีสให้กระจาย ใส่น้ำมะนาว ตีจนเนียน ใส่นมข้น ครีมข้น แล้วตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน

ขั้นตอนสุดท้ายก็นำส่วนผสมที่ได้ใส่ในถาดแป้งทั้ง 3 ถาด นำไปเข้าตู้เย็นช่องแข็งไว้ รอเวลาว่าจะทานเมื่อไร เมื่อจะเสิร์ฟก็ราดบลูเบอรี่สีม่วงสด เท่านี้ก็เรียบร้อย

โยเกิร์ต..เชค


สำหรับส่วนผสมก็มี

โยเกิร์ต(รสผลไม้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน) 1 ถ้วย

กล้วยหอม 1 ลูก

แคนตาลูป 1 เสี้ยว

น้ำแข็งเกล็ด 1-2 แก้ว

วิปปิ้งครีมสำหรับตกแต่งแบบสเปรย์ (ถ้ามี)


เมื่อได้ส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว


***ก็เริ่มด้วยการ นำกล้วยหอมและแคนตาลูปมาปอกเปลือก ผ่าครึ่ง แล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่นผลไม้ เทโยเกิร์ต และ น้ำแข็งเกล็ดตามลงไป


***จากนั้นปั่นทุกอย่างให้เข้ากัน ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที จนน้ำแข็งละเอียดเป็นมูทเหมือนสเลอปี้ถ้าชอบให้มีสีสันอาจจะใส่น้ำเฮลล์บลูบอยสีแดงหรือสีเขียวลงไป ประมาณ 1 ช้อนชา แต่อย่ามากเกินไปเพราะจะกลายเป็นกลิ่นน้ำหวาน จะไม่ใช่กลิ่นกล้วยหอม ส่วนใครถ้าอยากจะให้เข้มข้นก็อาจจะใส่นมสดเพิ่มความหวานมันลงไปตามใจชอบซึ่งเมื่อออกมารสชาติก็ชวนกินไม่แพ้ อ้อ...อีกนิด ถ้าหากมีวิปปิ้งครีมก็ลองบีบตกแต่งเพื่อให้หน้าตาเครื่องดื่มดูสวยงามขึ้น ร้อนนี้ ได้เครื่องดื่มอะไรๆคลายร้อน มันก็ช่วยให้ใจเย็นขึ้นเยอะ

ค็อกเทล


ส่วนผสม ที่ต้องเตรียม

ไลท์ รัม 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะม่วง 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ

ส้มคูราเซา 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำเชื่อมผสมมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ


สำหรับวิธีการทำนั้นแสนจะง่ายดาย


ทำเสร็จง่ายๆ เพียงแค่ไม่กี่วินาที เพียงแค่นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ในเช็คเกอร์ พร้อมกับใส่น้ำแข็งเกล็ดลงไป แล้วก็ออกแรงนิดหน่อย เขย่าให้ส่วนผสมทั้งหมดนั้นเข้ากันเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยเทใส่แก้ว พร้อมดื่มได้ทันที เอาไว้ดื่มพร้อมไปกับการเชียร์บอลทีมโปรด

ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่


เครื่องปรุง

ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 1 ถ้วย

เนื้อไก่ (เลือกใช้ส่วนสะโพกติดมันนิดๆ) 100 กรัม ไ

ข่ไก่ 2 ฟอง

พริกไทยป่น 1 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำมัน 5-6 ช้อนโต๊ะ

ต้นหอม ผักชี 2 ต้น

ผักกาดหอมเด็ดเป็นใบ 1 ต้น


เตรียมเครื่องปรุงส่วนผสมเสร็จสรรพ


ก็จับไก่มาหั่นเป็นชิ้นพอคำ ซึ่งถ้าใครขยันหน่อยก็อาจจะหมักไก่ โดยใส่ซอสปรุงรส น้ำมันหอย พริกไทย น้ำตาล อย่างละพอประมาณ หมักทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง (“กุ๊กเล็ก”เคยได้ยินว่าถ้าใส่นมสดกับน้ำมันพืชผสมเข้าไปด้วย ก็จะช่วยให้เนื้อไก่นุ่มเด้งเช้งกะเด๊ะขึ้น สงสัยวันหลังต้องลองทำดูบ้างแล้ว)


เอาเป็นว่าหลังจากจัดการกับไก่แล้ว ก็หันมาจับตะหลิวตั้งกระทะใส่น้ำมัน อ้อ !! ขอคั่นรายการนิดนึง ถ้าหากว่าใครใช้กระทะเทปลอนก็คงไม่มีปัญหาเรื่องเส้นติดกระทะ แต่ถ้าใครใช้กระทะธรรมดาแนะนำว่าให้เผากระทะก่อน ด้วยการเปิดไฟแรงจนน้ำมันร้อนเป็นควัน เทน้ำมันทิ้ง แล้วเอาน้ำมาราดกระทะเร็วๆเพื่อล้างน้ำมันที่ไหม้ออกไป จะช่วยให้เส้นไม่ติดกระทะได้ดีเชียวล่ะ พักคั่นด้วยกลเม็ดเคล็ดลับแล้วก็มาทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กันต่อ เริ่มด้วยใส่น้ำมันเล็กน้อยในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน เอาไก่ลงไปผัดให้สุก ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่เหลือผัดให้เข้ากัน ผัดให้เส้นร่วนไม่ติดกันก่อนจะตอกไข่ ใส่ต้นหอม ลงไปผัดอีกนิดหน่อย เสร็จแล้วก็ตักใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม โรยต้นหอมผักชีซอย ใส่พริกไทย น้ำส้ม พริกป่น ตามรสนิยมลิ้น

ครีมโซดา


***ส่วนผสม***

น้ำนมถั่วเหลือง 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำแข็ง 1/2 ถ้วย

น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำเขียว 2 ช้อนโต๊ะ

โซดา 1/4 ถ้วย


วิธีการทำ


**///ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่น้ำส่วนผสมทุกอย่างยกเว้นโซดา ใส่ลงในกระบอก แล้วเชคๆ เขย่าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เท่านี้ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นวิธีการทำ จากนั้นก็เทใส่แก้วเสิร์ฟพร้อมกับเติมโซดาลงไปก็เป็นอันเสร็จพิธี

เปาะเปียะทอด


ส่วนผสมไส้เปาะเปี๊ยะมีดังนี้

แผ่นเปาะเปี๊ยะ 10 -15 แผ่น

เห็ดหอม (หรือจะใช้เป็นเห็ดหูหนูก็ได้) 3 ดอก

วุ้นเส้นแช่น้ำให้นุ่มตัดเป็นท่อนสั้นๆ 1/2 ถ้วย

หมูสับ 2 ขีด

ไข่ไก่ 1 ฟอง

แครอทหั่นฝอย 2 ขีด

ถั่วงอกเด็ดหาง 1/4 ถ้วย

น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว รากผักชี กระเทียม พริกไทย พอประมาณ

น้ำมันพืชสำหรับทอด

น้ำเปล่าสำหรับทาแผ่นเปาะเปี๊ยะ

@@@

---เมื่อเตรียมส่วนผสมได้แล้วก็ลงมือได้เลย โดยเริ่มจากผสมเนื้อหมู ไข่ไก่ แครอท เห็ดหอม ถั่วงอก พริกไทย น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และวุ้นเส้นคลุกเคล้าเข้ากัน จากนั้นก็โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ทั้งหมดให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมัน เอาที่โขลกลงผัดให้หอม ตามด้วยส่วนผสมไส้เปาะเปี๊ยะที่คลุกไว้ ผัดพอสุกแล้วตักขึ้นมาพักไว้

---แล้วก็ถึงขั้นตอนการห่อเปาะเปี๊ยะ โดยถ้าแผ่นเปาะเปี๊ยะบางไป ก็ให้วางซ้อนกันสองแผ่น ตักไส้ใส่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วม้วนแผ่นเปาะเปี๊ยะให้แน่นเป็นแท่งกลม ๆ พับหัวท้าย ทาขอบแผ่นเปาะเปี๊ยะด้วยน้ำเปล่า จากนั้นก็ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่เปาะเปี๊ยะลงไปทอดให้สุกเหลืองแล้วตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
สำหรับส่วนผสมของน้ำจิ้มประกอบด้วย

พริกชี้ฟ้าแดงโขลก 5 เม็ด

น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ


ซึ่งพอส่วนผสมครบก็แค่ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและเหนียวก็ยกลง หั่นเปาะเปี๊ยะเป็นชิ้นพอคำ จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมกับผักและน้ำจิ้ม

กุ้งอบวุ้นเส้น


ส่วนผสม

กุ้งตัวใหญ่ 5 ขีด

วุ้นเส้นแช่น้ำจนนุ่มตัดเป็นท่อนสั้นๆ 1 ถ้วย

กระเทียม 1 หัว

พริกไทย 10 เม็ด

รากผักชี 5 ราก

น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำซุป 1/2 ถ้วย

ต้นหอม ผักชี 1-2 ต้น

///แล้วก็มาถึงวิธีการทำ///

_ให้เริ่มด้วยล้างกุ้งทั้งเปลือกให้สะอาด ตัดหนวดและผ่ากลางตัว เอาเส้นขี้กุ้งที่เป็นไส้ดำๆ ออก จากนั้นก็โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย แล้วนำไปคลุกเคล้ากับวุ้นเส้นและเครื่องปรุงที่เหลือให้เข้ากัน ขั้นต่อมาเอากุ้งวางเรียงก้นหม้อ ใส่วุ้นเส้นที่คลุกแล้วและเติมน้ำซุปให้ท่วมวุ้นเส้น แล้วปิดฝาหม้อ นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ นานประมาณ 20 นาทีหรือจนสุก ซึ่งในช่วงที่กุ้งยังไม่สุกถ้าน้ำเริ่มงวดให้เติมน้ำซุปลงไปอีกครั้ง ชิมรสที่ตัววุ้นเส้น ถ้ายังไม่อร่อยก็เติมเครื่องปรุงจนถูกใจ เมื่อเสร็จแล้วก็ใส่ผักชีโรยหน้าสักนิด ยกไปเสิร์ฟกินร้อน ๆ แสนจะอร่อย

_บอกอีกนิด ถ้าจะให้ดีงานนี้ต้องอบใส่หม้อดิน เพราะจะรู้สึกถึงรสชาติความเป็นกุ้งอบวุ้นเส้น แต่ถ้าไม่มีจะใช้หม้อสแตนเลสทำก็ได้ หรือถ้าให้ง่ายเข้าไปอีกใครจะอบด้วยเตาไมโครเวฟก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

เนื้อสะดุ้ง


สำหรับส่วนผสม (สำหรับรับประทานในครอบครัว 4 คน)

เนื้อสันใน 2 ขีด

น้ำมะนาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ

น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ

ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ


ส่วนวิธีทำนั้นก็ง่ายแสนง่าย

**เริ่มจากหั่นเนื้อตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆขนาดพอดีคำ ผสมซอสมะเขือเทศ ซอสปรุงรสน้ำมันหอย และน้ำมะนาวให้เข้ากัน จากนั้นตั้งน้ำให้เดือดพล่านจุ่มเนื้อให้พอสะดุ้ง นำน้ำปรุงรสราดลงบนเนื้อและเคล้าให้เข้ากันดี

**ตกแต่งจานเพื่อเพิ่มสีสันให้ดูน่ากินยิ่งขึ้นด้วย มะนาว กะหล่ำปลี วางประดับพอสวยงาม กินเป็นกับข้าวหรือกินเป็นกับแกล้ม

มะม่วงเนื้อวัวผัดซอสเหล้าแดง


***สำหรับส่วนผสมของเมนูนี้ก็มี***

เนื้อวัว 1 ขีด

แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ

มะม่วงสุก 1 ลูก

พริกหวานเขียว 1 ลูก

พริกหวานแดง 1 ลูก

กระเทียม 2-3 กลีบ

ซอสเหล้าแดง 2 ช้อนโต๊ะ

เกลือ น้ำตาล น้ำมันพืช (ปริมาณตามต้องการ)

วิธีทำขั้นแรก


**** เริ่มที่เนื้อวัวโดยแล่เป็นชิ้นบางๆ ขนาดพอดีคำ จากนั้นนำไปทอดให้สุก เสร็จแล้วก็ตักเนื้อขึ้นมาพักไว้ ระหว่างนั้นก็ปอกเปลือกมะม่วงหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซึ่งจะเป็นพันธุ์ไหนก็ได้ตามชอบ แต่ขอให้เป็นมะม่วงที่เพิ่งเริ่มสุกและมีเนื้อแน่นไม่เละจนเกินไป ส่วนพริกหวานเขียวและพริกหวานแดงก็หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปลวกสักพัก ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ

****จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันจนร้อนเพื่อเจียวกระเทียม แล้วใส่เนื้อวัว พริกหวานเขียวและแดงที่ลวกแล้วลงไปผัด ใส่ เกลือ น้ำตาล และแป้งมันที่ละลายน้ำลงไป จากนั้นใส่มะม่วง และซอสเหล้าแดง ผัดอีกครั้งจนสุก เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ซี่โครงหมูอบซอส


สิ่งที่ต้องเตรียม
ซี่โครงหมู 1000 กรัม

หอมใหญ่สับละเอียด 1/2 หัว

กระเทียม สับ 5 กลีบ

ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ

ซอสเปรี้ยว 1/2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำส้มคั้น1/2 ถ้วย

ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ

ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ

เหล้าจีน 1/2 ฝา


วิธีทำ
- นำซี่โครงหมูมาล้างทำความสะอาดแล้วสับเป็นท่อนตามต้องการ ใช้ส้อมจิ้มรอบๆ เนื้อหมูเพื่อที่เวลาอบน้ำซอสจะได้ซึมเข้าเนื้อ แล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ

- ใส่ส่วนผสม ซอสมะเขือเทศ ซอสเปรี้ยว น้ำตาลทรายแดง น้ำส้มคั้น ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรมและซอสพริกลงในถ้วยใบใหญ่คนส่วนผสมให้เข้ากันเตรียมไว้

- ใส่เนยลงไปประมาณ 1 ช้อน เอากระเทียมสับลงผัดในกระทะให้หอม แล้วตามด้วยหอมใหญ่สับลงผัดในกระทะให้สุก

- นำซี่โครงหมูลงไปผัดแค่พอให้หมูหดแล้วราดด้วยเหล้าจีน จากนั้นเทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

- เททั้งหมดลงในถาดแล้วเอาฟอล์ยปิด นำเข้าเตาอบ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 3 ชั่วโมง และทุกๆ 1 ชั่วโมงให้นำออกมาคนทีนึง หรือถ้าขี้เกียจก็คนแค่ครั้งเดียวก็คงพอค่ะ

- เมื่อหมูอบสุกแล้วตักใส่จานแล้วอย่าลืมตักน้ำซอสในถาดราดลงบนหมูเพิ่มอีกนะคะ อร่อยมากๆ

(ถ้าใครอยากเปลี่ยนจากน้ำส้มคั้นเป็นน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน ก็อร่อยไปอีกแบบ)

พะแนงกุ้งชาววัง



เครื่องปรุง

กุ้งแชบ๊วย 20 ตัว

ไข่ไก่ 2 ฟอง

นมสด 1/3 ถ้วยตวง

น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำพริกแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ

ใบมะกรูดหั่นฦอย 10 ใบ

ใบโหระพา 1/4 ถ้วยตวง

พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 1 เม็ด


วิธีทำ

1. ใส่นำ้มันพืชลงในกระทะผัดกับน้ำพริกพะแนงจนหอม ใส่กุ้งแชบ๊วย ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรมและนมสดผัดให้เข้ากันชิมรสตามชอบ

2. ตอกไข่ไก่ลงไปคนให้เข้ากัน ใส่ใบมะกรูด พริกชี้ฟ้าและใบโหระพาลงผัดจนเข้ากันตักใส่จานเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ

สูตรน้ำสลัดผลไม้

น้ำสลัดผลไม้มา 4 สูตรด้วยกันเลยทีเดียว เรามาประเดิม
สูตรแรกกันด้วย... =^-^= น้ำสลัดแครอท =^-^=
ส่วนผสม 1. ไข่แดง2 ฟอง
2. เกลือไทย 2 ช้อนชา (ปาดพอดีช้อน ไม่กดเกลือ)
3. พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
4. มัสตาร์ด1 ช้อนชา
5. น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำส้มสายชูหรือมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมันสลัด 1 ถ้วยตวง
8. น้ำแครอท 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. แยกไข่ขาวกับไข่แดง โดยให้ไข่แดงที่แยกไว้ไม่มีส่วนผสมไข่ขาวเหลืออยู่
2. ผสมเครื่องปรุงรสเข้าด้วยกัน ได้แก่ เกลือไทย พริกไทยป่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และน้ำแครอทคนให้ละลาย แล้วพักไว้
3. ตีไข่แดงให้ขาวฟู ใส่มัสตาร์ด หยดน้ำมันพืชลงทีละน้อย (ประมาณ 2-3 หยด) ลงในส่วนผสม โดยตีส่วนผสมให้เข้ากันจนส่วนผสมแข็งตัว จึงใส่น้ำมันพืชเพิ่มขึ้นจนหมด * ถ้าต้องการให้น้ำสลัดมีรสหวาน ละลายน้ำตาลทรายกับน้ำส้มสายชูให้เข้ากัน หยดน้ำปรุงรสลงในส่วนผสมจนหมด ชิมรสตามชอบ เก็บในตู้เย็นใช้ได้หลายวันทีเดียวเลยค่ะ o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o =^-^=

น้ำสลัดมะเขือเทศ =^-^=
ส่วนผสม 1. ไข่ไก่ทั้งฟอง1 ฟอง
2. น้ำตาลทราย1/2 ถ้วยตวง + 2 ช้อนโต๊ะ
3. เนื้อมะเขือเทศเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือไทย 2 ช้อนชา
5. น้ำส้มสายชู 5% 5 ช้อนโต๊ะ
6. พริกไทยป่น1 ช้อนชา
7. มัสตาร์ด1/2 ช้อนชา
8. น้ำมันสลัดหรือน้ำมันพืช1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ยกเว้นน้ำมันพืชไม่ต้องใส่
2. เปิดเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ให้ส่วนผสมเข้ากันดี ประมาณ 3-5 นาที ค่อยเติมน้ำมันพืช 1 ถ้วยลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้จนหมดปั่นให้ส่วนผสมเข้ากันดี ประมาณ 5 นาที
3. เทส่วนผสมที่เข้ากันใส่ลงในภาชนะ เก็บใส่ตู้เย็น o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o =^-^=

น้ำสลัดฟักทอง =^-^=
ส่วนผสม
1. ฟักทองนึ่งสุก.50 กรัม
2. ไข่แดงดิบ1 ฟอง
3. เกลือไทย1/2 ช้อนชา (ปาดพอดีช้อน ไม่กดเกลือ) 4. พริกไทยป่น.............................. 1 ช้อนชา 5. มัสตาร์ด1 ช้อนชา
6. น้ำตาลทราย3 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำส้มสายชู 5%2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำมันพืชหรือน้ำมันสลัด. 1 1/2 ถ้วยตวง
9. หัวหอมใหญ่สับละเอียด1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมเครื่องปรุงรสเข้าด้วยกัน ได้แก่ เกลือไทย พริกไทยป่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และมัสตาร์ด คนให้เข้ากัน
2. ยีฟักทองนึ่งสุกให้ละเอียด ใส่ไข่แดงดิบ แล้วคนให้เข้ากัน หยดน้ำมันสลัดลงทีละน้อยคนให้ขึ้นฟู ใส่น้ำปรุงรสสลับกับน้ำมันสลัดจนหมด o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o และสูตรสุดท้ายกับ...=^-^=

น้ำสลัดน้ำส้ม =^-^=
ส่วนผสม
1. น้ำส้ม..................................... 3 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำมันสลัด.............................. 1/4 ถ้วยตวง
3. เกลือไทย................................ 1/2 ช้อนชา
4. หัวหอมใหญ่สับละเอียด........... 2 ช้อนชา
5. มัสตาร์ด.................................. 1/2 ช้อนชา
6. น้ำตาลทราย............................. 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำส้มสายชู 5%........................ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ง่ายๆ กันเลยทีเดียวนะคะ แค่ผสมส่วนผสมทั้งหมด Mix เข้าด้วยกัน ใส่ขวดแล้ว Shake!! ให้เข้ากัน ก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ หรือถ้าอยากให้ง่ายกว่านี้ นำส่วนผสมทุกอย่างใส่เครื่องปั่น แล้วปั่นเลย เพียงแค่นี้คุณก็จะได้น้ำสลัดแบบใสรสส้มแล้วล่ะค่ะ ^.^ o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o..........o^-^o

เทคนิคการผัด,ทอด,นึ่ง,ย่าง

การปรุงอาหารด้วยวิธีการผัด ( STIR-FRYING ) : วิธีนี้เป็นวิธีปรุงอาหารที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ถ้าคุณไม่มีกระทะหลุมแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป กระทะแบนสำหรับทอดก็สามารถใช้แทนกันได้ ก่อนการผัดทุกครั้งจะต้องตั้งไฟจนกระทะร้อนได้ที่ก่อนจะใส่วัตถุดิบ (เนื้อสัตว์ หรือ ผัก) ลงไปในกระทะ ในการผัดนั้น นิยมใช้ตะหลิว (ทั้งที่ทำจากโลหะ หรือไม้) เพื่อกลับอาหารในกระทะอย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารสุก รีบปรุงรสและนำออกจากกระทะและเสิรฟขณะที่อาหารยังร้อนๆ เนื่องจากขั้นตอนการผัดนั้นมักจะใช้เวลาสั้น วัตถุดิบต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาหารประเภทนั้นจะต้องถูกเตรียมให้พร้อมก่อนเริ่มการผัด ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อทำการผัดอาหารแล้วจะได้อาหารที่สุกพอดี ไม่ไหม้จากการที่ต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบอื่นๆขณะที่ผัดอาหาร เคล็ดลับที่สำคัญในการผัดอาหารทะเลนั้น เวลาผัดจะต้องใช้ไฟสูง และผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวด้านนอกของอาหารทะเลสุก ขณะที่ภายในยังนุ่ม (ปรุงงเกือบสุก - จะได้รสชาติดีที่สุด) อาหารทะเลที่ปรุงสุกเกินไปจะรสชาติไม่อร่อย ผิวแข็ง และกระด้าง
การปรุงอาหารด้วยวิธีการตุ๋น ( STEWING ) : การตุ๋นจะช่วยรักษาคุณประโยชน์ของสารอาหารไว้ได้เกือบครบถ้วน โดยสารอาหารที่สำคัญจากเนื้อสัตว์ ผักและสมุนไพรต่างๆ จะยังคงอยู่ในน้ำที่ตุ๋นอาหาร เนื้อสัตว์ที่หยาบกระด้างเมื่อผ่านการตุ๋นแล้วจะทำให้เนื้อนุ่มน่ารับประทาน ในการตุ๋นอาหารโดยทั่วไป เนื้อสัตว์มักจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดใกล้เคียงกัน และเติมน้ำลงไปพอท่วมเนื้อ และใส่ในหม้อต้มปิดด้วยฝาที่สนิท ตั้งไฟอ่อนๆ เพื่อค่อยๆตุ๋นให้วัตถุดิบภายในสุกอย่างช้าๆ น้ำที่ได้จากการตุ๋นสามารถใช้เสิรฟกับอาหารในลักษณะน้ำราดได้อีกด้วย
การปรุงอาหารด้วยวิธีการนึ่ง ( STEAMING ) : ในการปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่งนั้น อาหารจะถูกปรุงให้สุกโดยใช้ไอน้ำที่เกิดจากการต้มน้ำภายใต้อาหารนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นอาหารจะไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำที่ต้ม ซึ่งจะส่งผลให้คุณค่าของสารอาหารยังคงอยู่กับอาหารอย่างครบถ้วน และที่สำคัญในการนึ่งนั้นแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันลงไปในการนึ่งเลย ทำให้การนึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เคล็ดลับที่สำคัญสำหรับการนึ่งอาหารให้รสชาติดีนั้น วัตถุดิบที่ใช้จะต้องสดมากๆ การนึ่งอาหารโดยทั่วไปจะต้องมีจานที่สามารถทนความร้อน (ทำจากเซรามิก, แก้ว, กระเบื้องก็ได้ ไม่แนะนำให้ใช้จานที่ทำจากพลาสติกหรือเมลามีน) และต้องมีซึ้ง (Steamer) โดยใส่น้ำต้มให้เดือดและนำอาหารที่ต้องการนึ่งวางบนจานทนความร้อนและใส่เข้าไปในซึ้ง และปิดฝาให้สนิท
การปรุงอาหารด้วยวิธีการทอด ( DEEP FRYING ) : วิธีการทอดนั้นจะทำให้อาหารสุกโดยการใส่เนื้อสัตว์หรือผักลงไปในน้ำมันที่ตั้งจนร้อน ปริมาณน้ำมันที่ใส่จะต้องมากพอที่จะท่วมอาหารที่จะนำไปทอด การทอดนั้นนิยมทอดในกระทะแบบหลุมหรือกระทะชนิดแบนก็ได้ อุณหภูมิของน้ำมันที่ใช้ในการทอดเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการปรุงอาหาร ถ้าน้ำมันไม่ร้อน เมื่อใส่อาหารลงไปทอด จะส่งผลให้อาหารอมน้ำมันและไม่น่ารับประทาน ขณะเดียวกันถ้าอุณหภูมิน้ำมันสูงเกินไป อาหารที่นำไปทอดก็จะไหม้ อุณหภูมิน้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดอยู่ที่ 180 องศาเซลเซียส (หรือประมาณ 350 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อทอดเสร็จแล้วควรสะเด็ดน้ำมันออกจากอาหารที่ทอด ตะแกรงลวดโลหะเป็นที่นิยมใช้ในการสะเด็ดน้ำมัน นอกจากนั้นกระดาษซับน้ำมันก็สามารถใช้ดูดซับน้ำมันออกจากอาหารที่ทอดได้ อาหารที่ผ่านการสะเด็ดน้ำมันเป็นอย่างดีจะช่วยคงความกรอบให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่าง ( GRILLING ) : การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่างนั้น จะนำอาหารที่ต้องการปรุงให้สุก วางไว้บนไฟหรือความร้อน ซึ่งอาจเป็นเตาถ่าน, เตาไฟฟ้า บางครั้งอาจใช้เตาอบ หรือตั้งกระทะไว้บนไฟในการย่างอาหารก็ได้ ในการย่างอาหารไทยนั้น อาหารอาจถูกย่างโดยตรงกับไฟ หรืออาจห่อด้วย ใบไม้หรือฟลอยส์อลูมิเนียม สำหรับใบไม้ที่นิยมใช้นั้นก็มีใบตอง และใบเตย ซึ่งอาหารที่ห่อและนำไปย่างจะมีกลิ่นหอม ชวนน่ารับประทาน การย่างที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีการกระจายความร้อนให้ทั่วอาหารเพื่อไม่ให้อาหารไหม้ ดังนั้นการกลับหน้าอาหารจึงมีความจำเป็น เคล็ดลับการย่างเนื้อสัตว์ให้อร่อยต้องย่างให้ผิวภายนอกให้สุก และพยายามให้เนื้อภายในเกือบสุก ด้วยวิธีนี้จะได้เนื้อที่นุ่ม ไม่หยาบกระด้าง และน่าทานเป็นอย่างมาก

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ไก่อบเนย

1.ก่อนอื่นต้องไปซื้อไก่..พ่อซื้อจากฟู้ดแลนด์ตัดคอตัดเท้าเอาเครื่องในออกหมดมาถึงก็ล้างให้สะอาดอีกที
2.หมักไก่ด้วยกระเทียมพริกไทยรากผักชีโขลกให้แหลกใส่ซีอิ๊วขาวใส่เนย
3.คลุกๆๆแล้วเอาไปยัดใส่พุงไก่แล้ว ทาๆๆผิวไก่ภายนอกให้ทั่วละลายกาแฟ เอามาทาสลับกับเครื่องหมักเพื่อให้ผิวสีแทนสวย
4.หมักไว้ชั่วโมงนึงเปิดเตาอบ 180 องศาซี ไม้ต้องวอร์มก็ได้ค่ะเอาเข้าอบประมาณ 50 นาที
@@ระหว่างรอ @@

ก็มาทำน้ำจิ้มพริกขี้หนู , กระเทียม , ซีอิ๊วขาว , ซีอิ๊วดำปรุงรสตามชอบ

5.พออบใกล้สุก ประมาณอีก 5 นาทีปิ๊งก็ผักผักบุ้ง (ผัดน้ำมัน ใส่น้ำมันหอยธรรมดา)เอามารองจานไว้ก่อน
6.ไก่สุกแล้ว เอาออกมาวางบนจาน

เนื้อลูกวัวราดซ้อสครีมมะนาว


เนื้อลูกวัว 500กรัม

น้ำมะนาว 3 ชต

ดราย เวอเม้าท์ 3 ชต

น้ำมัน 2 ชต

เกลือ

พริกไทยแป้งอเนกประสงค์

ไข่ 2 ฟองขนมปังป่น 1 ถ

ผิวมะนาวขูด 1/2 ชช

ผักชีฝรั่งสับ 2ชต

ไชฟ์หรือต้นหอมส่วนบนสับ

อัลมอนด็ป่น 60 กรัม

เนย 90 กรัม

น้ำมัน 1 ชต สำหรับตอนทอด

ครีม 1/2 ถ

ผักชีฝรั่งสับ 1 ชต

วิธีทำ@@

ทุบเนื้อลูกวัวให้แผ่บางๆ ผสมน้ำมะนาว น้ำมัน เวอร์เม้า เกลือ และพริกไทยเข้าด้วยกัน เทใส่เนื้อลูกวัวเคล้าให้เข้ากัน พักไว้สองชั่วโมงนำเนื้อลูกวัวออกจากชาม เก็บน้ำหมักไว้นำเนื้อลูกวัวมาคลุกกับแป้งอเนกที่ปรุงด้วยเกลือและพริกไทยแล้วจุ่มเนื้อในไข่ตีพอแตก แล้วเคลือบต่อด้วยขนมปังป่นที่ผสมไว้กับผิวมะนาวขูด ผักชีฝรั่ง ไชฟ์หรือต้นหอมสับ และอัลมอนด็ป่น กดให้ขนมปังป่นติดเนื้อแน่นๆตั้งกะทะใส่เนยและน้ำมันนิดนึง นำเนื้อลงทอดให้เหลืองกรอบทั้งสองด้าน สุกแล้วนำออกใส่จานวางรอไว้ในที่อุ่นๆเทน้ำหมักเนื้อที่เหลือใส่กะทะเดิมซึ่งมีเนยร้อนๆอยู่ ใส่ครีมลงไป เดือดแล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ยกกะทะออก ใส่ผักชีฝรั่ง ราดบนเนื้อลูกวัว (สำหรับสี่ที่ ทานคู่กับผักสลัด )

ไก่อบซอสมะเขือเทศ



ส่วนผสม


อกไก่ 300 กรัม

กระเทียม 4-5 กลีบ

รากผักชี 2 ราก

พริกไทย 5-6 เมล็ด

เกลือ นิดหน่อย

น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา

วิธีทำ
-โขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยและเกลือให้ละเอียดแล้วนำไปคลุกกับเนื้อไก่ ใส่น้ำมันหอย ซอสมะเขือเทศ เติมน้ำปลาเล็กน้อย หมักไว้ในตู้เย็นให้เข้าเนื้อสัก 1-2 ชั่วโมง
-จากนั้นใส่จานเอาพลาสติกใสหุ้ม แล้วนำไปอบในไมโครเวฟใช้ไฟแรง นานประมาณ 5-7 นาทีจนเนื้อไก่สุก

ต้มข่าไก่


เครื่องปรุง

1 เนื้อไก่ (ส่วนอก) 2-3 อก

2 กะทิส่วนหาง 4/5 ถ้วย

3 หัวกะทิ 1 ถ้วย

4 ตะไคร้ 3-4 ต้น

5 ข่าอ่อน หั่นเป็นแว่นบางๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ

6 ใบมะกรูด 8-10 ใบ

7 เกลือนิดหน่อย 1/2 ช้อนชา

8 น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ

9 ผักชี ไว้โรยหน้า

10 แครอท ( แล้วแต่ชอบ ป้าชอบเพราะทำให้น้ำแกงหวานดี)

11 น้ำมะนาว ,น้ำพริกเผา แล้วแต่ชอบ ใครชอบเผ็ดก็ทุบพริกขี้หนูสดใส่ไปอีกก็ยังได้


วีธีทำ

1 นำหางกะทิ ใส่หม้อ เข้า แล้วใส่ เครื่อง ข่า,ตะไคร้,ใบมะกรูดใส่เกลือนิดหน่อย แครอทใส่ไปได้เลย ตั้งไฟพอกะทิเดือด ก็ใส่เนื้อ อกไก่ เคียวไปไฟลุมๆ ให้เนื้อไก่ ซึมซับ ความหอม ของเครื่องปรุง และ กลิ่นสมุนไพรไทยเราเสียก่อน

2 พอเรากะว่า เนื้อไก่สุกนิ่มตามความพอใจเราแล้ว ก็ใส่หัวกะทิ ค่อยๆ คนให้หัวกะทิ ผสมกันดี ทีนี้ก็ปรุงรสด้วย น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำพริกเผา หรือ พริกขี้หนุสด ทุบ ก็ว่ากันไป หลังจากนั้นก็โรยผักชีเสียหน่อย ก็ตักใส่ถ้วยไปซด ร้อนๆ อร่อยๆ

ผัดไทยกุ้งสด:STIR-FRIED RICE NOODLE WITH PRAWNS


* กุ้งสด 12 ตัว (ทำความสะอาด, ปอกเปลือก)
* เส้นจันท์ (หรือเส้นเล็ก) 90 กรัม
* ถั่วงอก 50 กรัม
* ใบกุ้ยช่าย 2 ช้อนโต๊ะ (หั่นให้มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว)
* น้ำปลา 6 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันหอย 6 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะขาม 3 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำส้มสายชู)
* น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
* หัวไชโป้ว 2 ช้อนโต๊ะ
* ถั่วลิสงบด 2 ช้อนโต๊ะ
* ไข่ 2 ฟอง
* พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าชอบรสจัด)
* มะนาว 1/2 ลูก

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. กรณีใช้เส้นชนิดแห้ง ให้นำเส้นไปแช่น้ำธรรมดา (อุณหภูมิห้อง) ประมาณ 30 นาที
2. ตั้งกระทะบนไฟปานกลาง ใส่กุ้งลงไปผัดจนเริ่มสุก ตอกใส่ไข่ลงไปในกระทะ ใช้ตะหลิวเขี่ยให้ไข่แดงแตก พอไข่เริ่มสุก ใส่เส้น, น้ำตาล, ถั่วลิสงและ หัวไชโป้ว ผัดจนเส้นเริ่มนุ่มและเครื่องปรุงทั้งหมดผสมกันทั่ว
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา, น้ำมันหอย และน้ำมะขาม (หรือน้ำส้มสายชู) ใส่ถั่วงอก, หัวไชโป้วและพริกป่น (ถ้าชอบรสจัด) ผัดอย่างรวดเร็วให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันทั่ว ตักใส่จาน จัดแต่งด้วยถั่วงอกสด, พริกป่น, และมะนาว ข้างจาน ควรเสิรฟขณะยังร้อน
(สำหรับ 2 ท่าน)

ปลานึ่งมะนาว







เครื่องปรุงและส่วนประกอบ

**ปลาทับทิมสด1 ตัวประมาณ 500 กรัม
**ตะไคร้2 ต้น
**ใบมะกรูด 3 ใบ
**ข่าหั่นแว่น4 แว่น
**พริกขี้หนู10 เม็ดบุบไม่ต้องแหลก
**น้ำมะนาว1 ช้อนโต๊ะ
**น้ำซุป 1/2 ถ้วย
**น้ำปลา1 ช้อนโต๊ะ
**น้ำตาล1 ช้อนชา
**ต้นหอม2 ต้น
**ผักชี2 ต้น
**กระเทียม5 กลีบซอยไม่ต้องบางมาก
วิธีทำ
1.ล้างปลาให้สะอาดขอดเกล็ดและบั้งทั้งสองด้านเพื่อให้น้ำราดเข้าได้ทั่วถึง ทุบตะไคร้หั่นเป็นท่อนๆใส่ไปในท้องปลารวมทั้งข่าและใบมะกรูด แบ่งตะไคร้และใบมะกรูดไว้ใส่ก้นถ้วยเวลานึ่งด้วย

2.เอาตะไคร้แบ่งไว้แล้ววางรองก้นชาม ใบมะกรูดวางรองลงไปด้วย เอาปลาที่ล้างแล้ววางทับลงไปแล้วก็เอาไปนึ่งไฟแรงๆ 10-15นาทีขึ้นอยู่กับว่าปลาตัวใหญ่ตัวเล็ก

3.เอาน้ำซุปตั้งไฟให้เดือด ยกลง ใส่น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย พริก กระเทียมลงไปคน ชิมรสให้ได้รสที่ชอบ พอปลาสุกแล้วก็เอาน้ำซุปราดไปบนตัวปลา โรยผักชีต้นหอม ปิดฝานึ่งต่ออีก 2-3 นาทีก็ปิดไฟยกลงเสริฟได้เลย

ส้มตำไทย [ THAI PAPAYA SALAD ]


* มะละกอดิบหั่นฝอย 2 ถ้วยตวง
* แครอทหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง
* ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วยตวง (หั่นความยาวประมาณ 1" )
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
(ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทรายแทนได้)
* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
* มะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นครึ่ง)
* กุ้งแห้ง 1/3 ถ้วยตวง
* ถั่วลิสง 1/4 ถ้วยตวง
* พริกขี้หนู 10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความต้องการ)
* กระเทียมสด 5 กลีบ



วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ใส่กระเทียมและพริกลงในครก ใช้สากตำพอแหลก จึงใส่กุ้งแห้งและตำต่อไปอีกสักพัก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ ตำต่อจนน้ำตาลละลาย จึงใส่มะละกอฝอย, แครอทฝอย, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว จากนั้นจึงตำต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเคล้ากันทั่ว
3. ปรุงรสให้ถูกปากด้วย น้ำตาล, น้ำปลา หรือน้ำมะนาวเพิ่ม รสดั้งเดิมจะมีรสหวาน, เผ็ด และเปรี้ยวพอๆกัน
4. ตักใส่จานและโรยหน้าด้วยถั่วลิสง เสิรฟพร้อมผักสด (กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้งไทย, อื่นๆ) และข้าวเหนียวร้อนๆ
(สำหรับ 2 ท่าน)

ยำวุ้นเส้นทะเล


ส่วนผสม
วุ้นเส้นแช่น้ำ 1 ถ้วยพริกขี้หนูตำละเอียดมากน้อยแล้วแต่ชอบ

หอมหัวใหญ่ 1 หัว

ต้นคื่นช่าย 2 ต้น

มะเขือเทศ 1 ลูก

มะนาว น้ำปลา น้ำตาล

กุ้งปอกเปลือกลวก มากน้อยตามแต่ต้องการปลาหมึกล้างทำความสะอาด ลวก 1-2 นาที มากน้อยตามแต่ต้องการ

วิธีทำ


1. ทำน้ำยำค่ะ ส่วนผสมก็เหมือนน้ำยำ ทั่วๆ ไปคือพริกขี้หนูตำละเอียด น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมะนาว นำมาคนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
2. หั่นผักที่จะใส่ เช่น ต้นหอม คื่นช่าย หัวหอมใหญ่ และมะเขือเทศเอาไว้ จัดผักสลัดรองจานที่จะใช้เสิร์ฟไว้รอด้วยค่ะ
3. เอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟ ต้มจนเดือด แล้วเอาวุ้นเส้น กุ้ง ปลาหมึก ลงไปลวก พอสุกก็ตักขึ้นพักไว้ในชามผสม ใส่ผักที่หั่นไว้ลงไป ตามด้วยน้ำยำที่ทำไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน เทใส่จานเสิร์ฟ

5 สิ่ง ที่ผู้ชายคาดหวังจากเซ็กส์แรก

จีบกันไปจีบกันมาได้สักพัก ก็ถึงบทเข้าพระเข้านาง ตื่นเต้นจริงๆ ค่ะคุณขา กล้าๆ กลัวๆ ชอบกล กลัวทำอะไรไม่ถูกใจ กลัวเซ็กส์ไม่สวยงาม อยากรู้จังว่าผู้ชายคาดหวังอะไรจากเซ็กส์ครั้งแรกกับเรากั นหนอ

แสดงฝีปากออรัลเซ็กส์นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาโปรดปรานสุดยอด แต่ยังเป็นการแสดงให้เราเห็นว่า เขายังพึงใจกับการเป็นฝ่ายให ้ในขณะที่เราเพลิดเพลินเจริญใจด้วยความซาบซ่านอย่างยิ่ง

กระตือรือร้นอันนี้มิได้หมายความว่าให้เรากระโดดเด้งดึ๋งดั๋งบนเตียง ราวกับเด็กน้อยอายุ 4 ขวบ ซึ่งคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วน่ารักเหลือประมาณ เอาเป็นว่าอย่าปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายกระทำเพียงฝ่ายเดียว ของแบบนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันค่ะ

อย่ากังวลเรื่องรูปร่างพฤติกรรมจิตตกในรูปร่างตัวเอง เช่น ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หรือยืนยันให้ปิดไฟมืดตื๋อ ถึงแม้เรารู้ตัวดีว่ามีต้นขาใหญ่ยักษ์ประมาณต้นซุง แต่เราก็กำลังจะมีเซ็กส์กับผู้ชายคนนี้ (ไม่ว่าเป็นรักชั่วคืนหรือไม่ก็ตาม) เหตุการณ์ย่อมต้องถึงจุดที่ว่า เขาอยากเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของเราแน่นอน หนีไม่พ้นหรอกค่ะ ควรทำใจยอมรับแล้วเปิดเผยให้เขาเห็นเรือนร่างทุกสัดส่วนใน ครั้งแรกที่มีอะไรกัน รับรองว่าทั้งเราและเขาจะรู้สึกดีกับเซ็กส์ขึ้นเยอะเชียวค ่ะ

แสดงให้เขารู้ว่าเราเอนจอยสุดๆข้อนี้ตั้งใจฟังนะคะคุณขา เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็อ่านนิตยสารของผู้หญิง ดีไม่ดีอาจซื้อหนังสือสอนเซ็กส์มาศึกษาซะด้วย เขารู้ว่าผู้หญิงแกล้งทำ เพราะฉะนั้นหลอกผู้ชายไม่ได้ง่ายๆ แล้วค่ะ อย่าเอาอกเอาใจผู้ชายด้วยการเสแสร้งว่า เราชอบทุกอย่างที่เขาทำ สิ่งที่ควรทำคือแสดงให้รู้เวลาที่เขาทำอะไรโดนใจเจ๋งเป้ง วิธีแสดงคือ ครวญคราง อืออา หรือบิดกายทำท่าสยิวกิ้ว ถนัดแบบไหนเลือกแสดงตามใจชอบค่ะ

อย่าแสดงท่ากระ*นกระหือรือเกินเหตุถ้าผู้ชายไม่ต้องการเราตอนนี้ ก็แสดงว่าเขายังไม่ต้องการเราจริงๆ ผู้หญิงมักทำให้ตัวเองขายหน้า ด้วยการพยายามหาทางสืบค้นดูว่าตัวเองเป็นที่หมายปองของเขา หรือเปล่า ซึ่งถ้าเขาชอบเราจริงๆ เขาจะโทรมานัดเดทกับเราเอง ยิ่งเราแสดงทีท่าสบายๆกับสถานการณ์ทุกอย่าง ผู้ชายก็จะยิ่งติดเนื้อพึงใจเรามากขึ้นเท่านั้น ทำตัวให้น่าหลงใหลใฝ่ฝัน พร้อมกับส่งสายตาไปสัก 2-3 ครั้gง แล้วเขาจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ ทำตัวนัวเนียติดหนึบกับเขาเป็นตุ๊กแก น่ารำคาญมากกว่าน่ารักค่ะ

@@@6 วิธีทำตัวให้น่าปิ๊งแบบเร่งด่วน@@@
** คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่าปกติ ถ้าเราคิดว่าฉันสวยฉันดูดี กิริยาอาการและการแสดงออกก็จะเต็มไปด้วยความมั่นใจโดยอัตโ นมัติ ผู้คนที่พบเห็นย่อมรู้สึกได้
** อยู่กับคนขี้เหร่ ข้อนี้ฟังดูใจร้ายและเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน นี่คือทฤษฎีความขัดแย้ง เราจะรู้สึกว่าตัวเองสวยเมื่ออยู่ในกลุ่มคนหน้าตาไม่เอาไห น และจะรู้สึกว่าตัวเองดูไม่ได้ถ้าอยู่ในกลุ่มคนสวย
** อยู่กับคนสวย วิธีนี้ให้ผลในทางแตกต่าง การอยู่ในกลุ่มเพื่อนสวยงามเก๋ไก๋พลอยทำให้เราดูดีไปด้วย ทำให้เรามีความมั่นใจว่าเราก็งามพอๆกับคนอื่นนะ
** อย่าตั้งมาตรฐานสูงเกิน ผู้หญิงทั่วไปมักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานความสวย ระดับซุปเปอร์โมเดล พาให้จิตตกซะเปล่าๆ สิ่งที่ควรทำเพื่อสุขภาพจิตของตัวเองคือ ควรตั้งมาตรฐานไว้ในระดับปกติทั่วไปจะดีกว่าค่ะ
** แสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราชอบเขา ทำตัวเป็นมิตรน่ารักกับเพื่อนมนุษย์ ใครๆก็ชอบค่ะ
** มีความเป็นผู้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่า มนุษย์จะรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้นเมื่อมีอา ยุมากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Woman Plus

เคล็ดลับเสริม ดวงชะตา




เคล็ดลับเสริม ดวงชะตา

พระสังกัจจายน์ เมื่อยามที่คุณ ท้อ ทำอะไรค่อนข้างติดขัด เหมือน ชีวิตขาดแคลนไม่มีความอุดมสมบูรณ์ ควรไปกราบไหว้ หรือ หาไว้บูชาที่บ้าน จะทำให้มีความสุขสบาย อยู่ดีกินดี อุดมสมบูรณ์
เครื่องนุ่งห่ม เช่น เสื้อ กางเกงที่เป็นของใหม่ ถ้านำมาสวมใส่ วันจันทร์ จะทำให้มีเสน่ห์ ชวนมอง มีคนชื่นชมและทักทายพูดคุย
น้ำมันตะเกียง การไปทำบุญไหว้พระ ตามสถานที่ต่างๆ ควรเติมทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความสว่างสดใส ความมีพลัง ความรุ่งเรืองให้กับชีวิต

หน้าผาก เป็นจุดรับทรัพย์ ไม่ควรทำผมปรกหน้าผาก หรือถ้าไว้ผมม้าก็ไม่ควรให้ผมม้าปรกตา
เต่า การปล่อยเต่าจะทำให้คุณอายุยืนนาน แต่การปล่อยเต่าไม่ควรปล่อยในที่ที่มีกระแสนำไหลแรง ควรเป็นที่ที่น้ำค่อนข้างนิ่ง ดินแฉะๆ เพราะเต่าไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในกระแสน้ำแรงๆได้ ไม่เช่นนั้นจะทำบาปมากกว่าทำบุญ
ชุดนอน ไม่ควรนำมาเป็นชุดใส่เล่น ชุดลำลอง เพราะชุดนอนก็คือ ชุดนอน ควรแบ่งแยก ให้ชัดเจนเพราะ ถ้านำชุดนอน มาใส่เพื่อลำลอง เดินเล่น จะทำให้ ความหม่นกมองยุ่งเหยิง หมดสง่าราศี
โลงศพ ในแต่ละปีที่ผ่านมา หากคุณหมดหวังสิ้นกำลังใจ ขาดแรงใจควรบริจาคทานโลงศพให้แคนยากไร้ ศพไร้ญาติและอนาถา เพื่อเติมพลังให้กับชีวิต
การตัดผม ไม่ควรตัดผมในวันจันทร์และวันพุธ การตัดผมใหม่ควรตัดวันอาทิตย์ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เพื่อความเป็นสิริมงคล
ล้างหน้า ให้ล้างตอนตื่นนอนตอนเช้าทุกครั้งเสมอๆเพราะ การที่ปล่อยให้หน้าสกปรก ทำให้ดูไม่มีราศี มีแต่ความหม่นหมอง
เสื้อผ้าเก่า เครื่องนุ่งห่มที่ไม่สวมใส่แล้ว หรือ สิ่งของต่างๆ ที่เหลือใช้ ควรนำมาบริจาคทานให้แคนยากคนจน ในวันเกิดของตัวเองเพราะว่าการทำทานในวันเกิดจะช่วยให้เรา ไม่ขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้
ทองคำเปลว เวลาที่ไหว้พระ หรือ ทำบุญทุกครั้งถ้ามีโอกาสให้ปิดทองคำเปลว ที่องค์พระเสมอๆ และถ้าต้องการเสริมดวงทางด้านใด เช่นการเจรจาค้าขาย การติดต่อ ก็ให้นำทองคำเปลว ปิดบริเวณพระพักตร์ หรือ โอฐษ์ ขององค์พระ
บิดามารดา ผู้มีพระคุณ ต้องปฏิบัติ ดูแลเอาใจใส่ ตอบแทนบุญคุณ อย่างสม่ำเสมอ อย่าทำให้ท่านต้องเสียใจ เพราะ กตัญญู ตอบแทน บิดามารดา ผู้มีพระคุณ ถือเป็นมงคลแห่งชีวิตที่สำคัญมาก
พระพรหม ไปไหว้พระพรหมที่หน้าโรงแรม เอราวัณ สีแยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้ประทานความสำเร็จในทุกด้าน
จ้าที่เจ้าทางที่บ้าน จัดเครื่องเซ่นกราบไหว้เจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน จัดผลไม้ ดอกไม้ธูปเทียน บูชา พระบนหิ้งที่บ้าน เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขกับบุคคลในครอบครัว
ปลาไหล นำไปปล่อยลงแม่น้ำที่มีดินเฉอะแฉะ น้ำไหลไม่แรง เพื่อ ชีวิตที่มีแต่ความลื่นไหล ราบเรียบไม่ติดขัด
สิ่งของที่เป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เทียนคู่ หมอนคู่ ให้ถวายสิ่งของเป็นคู่ที่วัด หรือ งานบุญต่างๆ เพื่อเสริมดวงทางด้านความรักและชีวิตคู่ที่สมหวัง
บริจาคโลหิต การบริจาคโลหิต ทุกๆปี เป็นการได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการทำบุญที่ช่วยชีวิตบุคคลอื่น ทำให้เรา มีสุขภาพดี และ อายุยืน

กล้วยทอด (Fried Banana)


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้าห่าม 1 หวี
* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
* แป้งสาลี 1/4 ถ้วย
* เกลือ 1/2 ช้อนชา
* ผงฟู 1 ช้อนชา
* งาขาวคั่ว (ปริมาณตามความชอบ)
* มะพร้าวขูดขาว 1/2 ถ้วย
* น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
* น้ำปูนใส 1/4 ถ้วย
* ใบเตย 3-5 ใบ
* น้ำมันสำหรับทอด


วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำกล้วยมาปอกเปลือกและหั่นตามยาวเป็นชิ้นบางๆ หนึ่งลูกควรหั่นให้ได้อย่างน้อย 3 ชิ้น
2. นำแป้งข้าวเจ้า, แป้งสาลี, เกลือ, ผงฟู, น้ำตาลปี๊บ, งาขาว, มะพร้าวขูด, น้ำปูนใสและหัวกะทิ ผสมเข้าด้วยกันในชามขนาดใหญ๋ คนจนแป้งและน้ำตาลละลายดี ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ และนำไปตั้งบนไฟค่อนข้างแรง รอจนน้ำมันเดือด จึงใส่ใบเตยลงไปทอดก่อนให้น้ำมันหอม
4. นำกล้วยที่หั่นเตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งชุบแป้งแล้วนำไปลงทอดจนเหลืองสุกและกรอบ จึงตักออกมาสะเด็ดน้ำมัน
5. เรียงจัดใส่จาน และเสริฟเป็นของว่างทานเล่น

ข้าวเหนียวมะม่วง (Mango with Sticky Rice)


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มะม่วงสุก 3 ลูก
* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ
2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
5. ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ
6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ

สูตรพะแนงเนื้อ




* เนื้อวัว 400 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
*
น้ำพริกแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
* กะทิ 150 กรัม
* น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* ใบโหระพา 10 ใบ
* พริกชี้ฟ้า 2 เม็ด (หั่นตามแนวขวาง)
* ใบมะกรูด 3 ใบ (ซอยละิีเอียด)
วิธีทำทีละขั้นตอน
1. นำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมันประมาณ 1 นาที จากนั้นจึงใส่กระทิลงไปและต้มต่อไปจนเดือด
2. ใส่เนื้อวัว แล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลา
3. เมื่อเนื้อสุกดีแล้ว จึงใส่ใบโหระพา, พริกและใบมะกรูด คนต่อไปอีกสักพัก ตักใส่ถ้วยและเสิรฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ
(สำหรับ 2 ท่าน)
หมายเหตุ:
น้ำพริก + เครื่องแกง : น้ำพริกแกงพะแนง
ส่วนผสม น้ำพริก + เครื่องแกง :
• พริกแห้งเม็ดใหญ่ แกะเมล็ดออกแช่น้ำให้นุ่ม 5 เม็ด
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• ข่าแก่หั่นละเอียด 1 ช้อนชา
• ตะไคร้ซอย 1 ช้อนชา
• ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ½ ช้อนโต๊ะ
• รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
• กระเทียมซอย 10 กลีบ
• หอมแดงซอย 5 หัว
• พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
• กะปิ 1 ช้อนชา

วิธีทำ น้ำพริก+เครื่องแกง :
1. โขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี โขลกต่อให้ละเอียด
2. ใส่กระเทียม หอมแดง โขลกต่อให้ละเอียด ใส่พริกไทยและกะปิ โขลกให้เข้ากัน

สูตรมัสมั่นเนื้อ


* เนื้อวัว 400 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
* กะทิ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
* หอมใหญ่ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง)
* มันเทศ 1 ถ้วยตวง (ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ)
* น้ำพริกแกงมัสมั่น 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะขาม 1 ช้อนโต๊ะ
* อบเชย 1 แท่ง
* มะม่วงหิมพานต์ 1/4 ถ้วยตวง
* ลูกกระวาน 1 ช้อนชา
* ใบกระวาน 2 ใบ
(นอกจากเนื้อวัว สามารถใส่เนื้ออื่นได้เช่น ไก่, แกะ,ฯลฯ)


วิธีทำทีละขั้นตอน


1. นำกะทิและน้ำพริกแกงมัสมั่นไปตั้งบนไฟอ่อน คนจนเครื่องแกงเริ่มแตกมัน (ประมาณ 5 นาที)
2. ใส่เนื้อวัวและคนต่อไปอีกสักพัก เติมน้ำลงไปพอท่วมเนื้อ
3. ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด ยกเว้นมัน, หอมใหญ่ และมะม่วงหิมพานต์ ตุ๋นด้วยไฟอ่อนต่อไปอีกประมาณ 40 นาที จนกระทั่งเนื้อนุ่ม
4. ใส่มัน, หอมใหญ่ และมะม่วงหิมพานต์ และตุ๋นต่อไปอีกประมาณ 30 นาที ระหว่างตุ๋นนี้ถ้าน้ำแห้งสามารถเติมน้ำลงไปได้ เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย และเสิรฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ หรือ แผ่นแป้งโรตี



น้ำพริก + เครื่องแกง : น้ำพริกแกงมัสมั่น


ส่วนผสม น้ำพริก + เครื่องแกง :


• พริกแห้งเม็ดใหญ่ แกะเมล็ดออกแช่น้ำให้นุ่ม 3 เม็ด
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• ข่าแก่หั่นละเอียดคั่ว 1 ช้อนชา
• ตะไคร้ซอยคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
• กระเทียมเผา 2 หัว
• หอมแดงเผา 5 หัว
• ลูกผักชีคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ
• ยี่หร่าคั่วป่น 1 ช้อนชา
• พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
• กานพลูคั่วป่น 2 ดอก
• กะปิ 1 ช้อนชา

วิธีทำ น้ำพริก+เครื่องแกง :


1. โขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ โขลกต่อให้ละเอียด
2. ใส่กระเทียมและหอมแดงเผา โขกต่อให้ละเอียด
3. ใส่ลูกผักชี ยี่หร่า พริกไทย กานพลู และกะปิ โขลกให้เข้ากัน

10 กฎเหล็กสำหรับคู่รัก

10 เทคนิครัก สำหรับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่ม (10 Love Tactics For New Relationship)

กฎข้อที่ 1
อย่าต้องการมากเกินไปคนเราลองรักกันแล้วก็ควรให้อิสระแก่กันด้วย ไม่ใช่ว่าพอตกลงเป็นแฟนปุ๊บ ก็ห้ามไม่ให้ไปสุงสิงกะใครปั๊บ แหม...ทำอย่างกะชีวิตรักเป็นชีวิตคุกก็ไม่ปาน แล้วอย่างงี้จะไปกันไหวรื้อ สู้บางเวลาให้แต่ละฝ่ายมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง และบางคราก็หวานแหววกับแฟนมั่ง หากแบ่งสันปันส่วนเวลาส่วนตัวกับส่วน รวมได้อย่างนี้ ความรักก็ยังอยู่กะคนทั้งคู่ รับรองว่าแฟนไม่หนีไปไหนหรอกการเกาะติดกันเป็นปาท่องโก๋ของคู่รัก ความจริงก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคนเราลองพิศวาสบาดอุรากันแล้วไซร้ ก็ย่อมอยากอยู่ด้วยกัน เป็นธรรมดาโลกน่ะโยม แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ไม่ช้าก็เร็ว "การอยู่ติดกันเป็นตังเม" ก็อาจทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองอยากทำหรือชอบทำลำพังคนเดียวก็ได้นะ เช่น อดดูหนังเรื่องที่คุณชอบเพราะแฟนไม่ชอบด้วยจึงไม่ยอมไปเงี้ย เพราะฉะนั้น จงอย่าเรียกร้องความต้องการที่จะอยู่ด้วยกันมากเกินไปนะจ๊ะ เดี๋ยวเบื่อเร็วไม่รู้ด้วย!

กฎข้อที่ 2
การทำอะไรเล็กๆน้อยๆ ร่วมกัน ย่อมแสดงถึงความเป็นคู่ ไม่ว่าจะเป็นการไปทานอาหารในโอกาสพิเศษที่ภัตตาคารโปรด หรือแค่นั่งทานข้าวโพดคั่วขณะดูทีวีอยู่ที่บ้านด้วยกัน กิจกรรมที่เห็นว่าเล็กน้อยพวกนี้กลับมีพลังมหาศาลที่ช่วยสร้างความผูกพัน ซึ่งเชื่อดิว่าอย่างอื่นก็ไม่สามารถทดแทนได้วิธีการของคุณๆอาจไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อลังการเสมอไป แค่อาบน้ำด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือชวนกันหนุงหนิงไปออกกำลังกายทุกวันศุกร์หลังเลิกงาน เท่าเนี้ยก็รักษาความผูกพันกันไว้ได้แล้ว

กฎข้อที่ 3
อย่าคิดว่าความสัมพันธ์คราวนี้ "เป็นของตาย"อย่าให้ความรู้สึกเป็นกันเองพัฒนาไปสู่ "การปล่อยตัวตามสบายจนเกินไป" เช่น แม้ทั้งคู่จะโทรศัพท์หากันได้ทุกเมื่อที่อยากจะฝอยแหลกให้อีกฝ่ายฟัง หรือสนิทซะจนต่างฝ่ายต่างช่วยซักกางเกงในให้กันและกันได้ก็เหอะ คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกเป็นกันเอง กลายเป็นจะทำไงต่อดาร์ลิ่งก็ได้โดยปราศจากความเกรงใจ หรือเลิกพูดคำหวานๆ และหยุดที่จะให้กำลังใจกันอีกต่อไปเพราะคิดตื้นๆ ว่าไม่จำเป็น แต่จริงๆแล้วยังจำเป็นนะ

กฎข้อที่ 4
ยังจูบประทับใจกันอยู่เลยการจูบแบบดื่มด่ำฉ่ำหวาน เป็นการช่วยให้ไฟรักของคุณโชติช่วงชัชวาลในความสัมพันธ์ของคุณ ด้วยเหตุที่ว่า การจูบเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับความรักและความโรมานซ์ ฉะนั้น จงยุติการจุ๊บปากชนปากแบบนกจิกซะ แล้วเปลี่ยนเป็นจุมพิตแบบดูดดื่มมิรู้ลืมดีกว่า รับรองจะเรียกคะแนนนิยมจากหวานใจได้อีกเพียบ

กฎข้อที่ 5
ตระหนักว่า การทะเลาะนั้นมีไว้เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะการทะเลาะเบาะแว้งเป็นสัจธรรมของการมีชีวิตคู่ ฉะนั้นไม่ต้องกระต่ายตื่นตูมจนเกินไป หากว่าคู่รักจะมี ปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยแล้วคิดว่า ตายแล้ว สงสัยจะเป็นลางร้ายของชีวิตคู่แล้วไหมล่ะ...ขืนคิดแบบนี้ก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะเจ๊รู้เปล่าว่า การทะเลาะกันบางครั้งกลับทำให้คู่รักใกล้ชิดกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่มีแล้วจะทำให้แตกแยกเสมอไปก็หาไม่ แต่การทะเลาะกันก็มีเคล็ดลับตรงที่ควรมุ่งเน้นเพื่อความก้าวหน้า หรือปรับปรุง พัฒนาให้คู่ของเราดีขึ้น ไม่ใช่เพียงต้องการเอาชนะเพื่อความสะใจ เดี๋ยวเหอะ คงได้กลับไปเป็นโสดอีกหรอก

กฎข้อที่ 6
อย่าแค่พูด แต่ลงมือทำคำพูดอาจดูสวยหรู แต่คำพูดจะหมดความหมายถ้าคุณทำไม่ได้ดังที่พูด เพราะฉะนั้นแทนที่จะโม้ว่าคนที่คุณรักมีความหมายสำหรับคุณแค่ไหน คุณควรลงมือแสดงความรัก, ความอ่อนโยนและความยอมรับนับถือในตัวสุดที่รักออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ

กฎข้อที่ 7
อย่ากดดันดาร์ลิ่งมากไปการผลักให้แฟนทำบางสิ่งที่คุณต้องการ เช่น เรื่องบนเตียงหรือเซ็กซ์ๆ เอ็กซ์ๆ มันเป็นการบังคับขืนใจกันเกินไปรึเปล่า ต้องคิดถึงใจเขาใจเราด้วยน้า การกดดันสุดที่รักให้ทำในสิ่งที่ไม่พร้อม เท่ากับไปฝืนความรู้สึก แล้วความสัมพันธ์จะลงเอยกันด้วยดีได้ไง ทางที่ดีควรปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่ามั้ย

กฎข้อที่ 8
อย่าพูดว่า "รักเธอ" ถ้าไม่รู้สึกตามนั้นจริงๆเพราะมันเสียความรู้สึกน่ะเซ่ แถมยังบาปอีกต่างหาก ฉะนั้นถ้าไม่รักก็อย่าลวงให้ช้ำ ยังไม่อยากเสียตังค์ซื้อน้ำใบบัวบก แก้ช้ำใน ทราบไว้ซะด้วย

กฎข้อที่ 9
อย่าให้ของขวัญตามอำเภอใจคนให้การเอาใจแฟนด้วยการรีบให้ของขวัญ แหงล่ะ ไม่ว่าใครย่อมชอบด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งถ้าคุณอยากให้อะไรแก่ หวานใจก็ให้ไปเถอะ แต่มั่นใจหน่อยนะว่าได้ให้ของที่แฟนชอบด้วย ไม่ใช่ให้อะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหล่อนไม่มีวันแกะมันออกมาใช้ ก็อย่าให้ดีกว่า นอกจากจะเปลืองแล้วยังทำให้รู้สึกไม่มีความหมายอะไรด้วย

กฎข้อที่ 10
อาศัยความลึกลับชวนให้น่าค้นหาทำตัวให้มีความลึกลับซะบ้าง บางครั้งก็ดีเหมือนกัน การจะมีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานได้จะต้องมีสัมผัส แห่งการไม่รู้เป็นศิลปะในการเก็บงำความลับเพื่อให้แฟนได้คาดเดาเอาไว้บ้าง เผื่อจะจูงใจให้แฟนอยากค้นหาคุณไง จำไว้เหอะว่า ความไม่เด่นชัดจะยิ่งปลุกปล้ำ เอ๊ย ปลุกปั้นคุณให้น่าสนใจมากกว่าแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้ใจคุณไปซะหมด

ตรงนี้สรุปเป็นสมการได้ว่า ความคาดหวัง+ความสงสัย จะเท่ากับความรัก ไงจ๊ะ

สูตรหมักผม

1. สูตรผมดำเงางาม นำหัวกระทิที่คั้นสดๆ ½ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำคั้นจากดอกอัญชัน 5 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะกรูด 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วนำมาลูบไล้เส้นผมตั้งแต่รากจรดปลาย จะช่วยเพิ่มความเงางามให้แก่เส้นผมที่ดูแห้งกร้าน นอกจากนี้ยังเป็นสูตรที่ช่วยป้องกันปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้อีกด้วยนะจ๊ะ

2. สูตรผมหอม ใช้น้ำคั้นจากดอกกุหลาบแดง ½ ถ้วยตวง (ล้างให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ) ผสมกับน้ำแอปเปิ้ล ½ ถ้วยตวง หยดโคโลญจน์กลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด (ห้ามเกินกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นฉุนจัดได้) น้ำส่วนผสมมาหมักผม คลุมทับด้วยหมวกอาบน้ำทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. สูตรผมนุ่มลื่น เคล็ดลับที่ทำให้เส้นผมของคุณหวีง่ายและคงความนุ่มลื่น ลองใช้ไข่แดง 2 ฟอง คนให้ไข่แตกตัว (ไม่ต้องตีจนเกิดฟองหรอกนะ) จากนั้นนำเบียร์ 1 ถ้วยตวง มาเทใส่แก้ว ทิ้งไว้จนปราศจากฟองฟู่ มาผสมทั้งสองส่วนให้เข้ากัน ชโลมเฉพาะบริเวณเส้นผม หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหนังศีรษะโดยตรงนะคะ เพราะถ้าคุณมีผิวบอบบางจะทำให้แสบได้ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก แล้วสระผมให้สะอาดอีกครั้งจนหมดกลิ่น

4. สูตรผมมีน้ำหนัก ผลไม้เมืองหนาวอย่างอะโวคาโดจะมีคุณสมบัติช่วยทำให้เส้นผมของคุณดูมีน้ำหนัก เพิ่มวอลุ่ม แก้ปัญหาผมลีบแบนได้ วิธีก็แสนง่าย ใช้ช้อนตักเนื้ออะโวคาโดประมาณ ½ ลูก ยีให้เป็นเนื้อเละๆแล้วผสมกับน้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออยล์ 2 ช้อนโต๊ะ ชโลมเส้นผมหลังสระ ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ไม่ต้องเสียเงินใช้ทรีตเม้นท์ราคาแพงเลยค่ะ

5. สูตรผมปราศจากรังแค ใช้น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมะกรูดเผาไฟ 3 ลูก น้ำมาผสมกัน นวดให้ทั่วศีรษะ พักไว้ 20 นาทีหรือนานกว่านั้นถ้าคุณมีเวลา ทำประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ประมาณ 1-2 เดือนรังแคจะหายขาดค่ะ

6. สูตรขจัดผมมัน ถ้าคุณต้องการสระผมทุกวันก็ควรใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนหรือสูตรสำหรับผมมันโดยเฉพาะ เคล็ดลับที่ช่วยแก้ปัญหานี้คือ บีบมะนาว 1 ลูกลงไปในไข่ขาว 2 ฟอง ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ชโลมตั้งแต่หนังศีรษะจนถึงปลายผม ถ้าคุณมีเส้นผมยาวมากก็สามารถเพิ่มปริมาณของส่วนผสมมากขึ้นได้

7. สูตรผมเรียบตรง สาวผมหยักศกที่อยากให้เส้นผมดูเรียบตรงขึ้น จัดทรงง่ายกว่าเดิม ก็ให้ลองหมักผมด้วยน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับมายองเนสอีก 5 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ ลูบไล้ให้ทั่วเส้นผม หวีด้วยหวีซี่ห่างๆ ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก หรือจะใช้คู่กับหมวกอบไอน้ำก็จะเวิร์คมากเลยค่ะ

8. สูตรผมแข็งแรง น้ำมันมะพร้าวยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณๆ ที่กำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมอ่อนแอหลุดล่วงได้ง่าย ชโลมเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าว (มีขายเป็นขวดสำเร็จรูปตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป) คลุมทับด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วสระตามปกติทำเป็นประจำผมจะแข็งแรงมากขึ้นค่ะ

9. สูตรรักษาสีผม ผลไม้ตระกูลส้มและเบอรี่จะสามารถช่วยถนอมสีผม และทำให้เส้นผมของคุณส่องประกายสีสวยเหมือนเพิ่งออกจากร้านทำผมใหม่ๆ ลงมือทำเพิ่มความสวยให้แก่สีผม โดยการนำส้มสดๆ 1 ลูกโต แกะเปลือกเรียบร้อยนำไปปั่นรวมกับสตรอเบอร์รี่ 3-5 ลูก ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด

10. สูตรถนอมลอนผม สาวผมดัดที่ลอนผมเริ่มจะแตกตัว ดูยุงเหยิงไม่เป้นทรงสวยเหมือนเก่า ต้องลองทำสูตรนี้ดูค่ะ นำข้าวโอ๊ตไปบดให้ละเอียดประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วยตวง นมสดรสจืด 5 ช้อนโต๊ะ หมักผมทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเพียงเดือนละ 2-3 ครั้ง จะช่วยยืดอายุของลอนผมได้

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ระเบียบการขอวีซ่าเชงเก้นสวีเดน ประเภทต่าง ๆ

ระเบียบการขอวีซ่าเชงเก้นสวีเดน ประเภทต่าง ๆ
ก่อนจะเตรียมตัวทำวีซ่าท่องเที่ยวสวีเดน ลองมาอ่านกฏระเบียบเกี่ยวกับการขอวีซ่ากันก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าเตรียมอะไรบ้าง ทำอย่างไรบ้าง ที่ไหนค่ะระเบียบการขอวีซ่าเช็งเก้น (Schengen Visa) ระยะเวลาไม่เกิน 90 วันบุคคลสัญชาติไทยต้องขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศสวีเดนและประเทศอื่นๆในเช็งเก้น ได้แก่ เบลเยี่ยม เดนมาร์กฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน เยอรมัน ออสเตรีย ลัตเวียลิทูเนีย เอสโตเนีย มอลต้า โปแลนด์ สโลวีเนีย สโลวาเกีย สาธารณรัฐเชค และ ฮังการี วีซ่าเช็งเก้นที่ออกให้จะมีระยะเวลาไม่เกิน 90 วันในช่วง ระยะเวลา 6 เดือน เวลาในการพิจารณาวีซ่าคือประมาณ 7วันทำการนับจากวันที่ยื่นเอกสาร ในบางกรณีหากต้องส่งเรื่องไปพิจารณาที่กองตรวจคนเข้าเมือง ณ ประเทศสวีเดน เวลาในการพิจารณาวีซ่าจะนานกว่าเวลาโดยปรกติหากต้องการเดินทางไปประเทศสวีเดนและอาศัยอยู่นานกว่า 90 วัน จะต้องยื่นขอวีซ่าอยู่อาศัยชั่วคราวแทนการขอวีซ่าเช็งเก้นทางสถานทูตต้องการเอกสารที่กรอกโดยสมบูรณ์ ประกอบกับเอกสารแนบที่ครบถ้วนสำหรับการยื่นขอวีซ่าเท่านั้น เอกสารทุกฉบับจะต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาสวีเดน เอกสารใดๆที่เป็นภาษาไทยจะต้องมีเอกสารที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากสำนักงานแปลที่ได้รับอนุญาตแนบมาด้วย หากเอกสารที่ยื่นขอวีซ่าไม่สมบูรณ์ อาจส่งผลถึงการปฏิเสธวีซ่าได้ผู้ขอวีซ่าทุกท่านจะต้องมายื่นขอด้วยตนเองที่สถานทูต หากท่านไม่ได้มาแสดงตนที่สถานทูตในวันยื่นขอวีซ่า ท่านจะต้องทำการนัดหมายเวลายื่นใหม่สำหรับผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศสวีเดนและประเทศอื่นๆในเช็งเก้น จะต้องมีประกันการเดินทางทุกท่าน ท่านสามารถที่จะทำประกันการเดินทางกับบริษัทที่อยู่ในประเทศยุโรปหรือในประเทศไทย ทั้งนี้ทั้งนั้นมีบริษัทประกันการเดินทางในประเทศไทยบางบริษัทเท่านั้นที่ทางสถานทูตรับรอง โปรดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมใน ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง . ประกันการเดินทาง ที่ซื้อจากบริษัทที่มีข้อตกลงตามที่ทางประเทศในกลุ่มเช็งเก้น( Schengen )ได้กำหนดไว้ จะครอบคลุมไปถึงการที่จะต้องเข้ารับการบำบัดรักษาในโรงพยาบาลทั่วทุกแห่งในประเทศกลุ่มเช็งเก้น( Schengen ) รวมไปถึงประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป( European Union ) ซึ่งคือ สวิสเซอร์แลนด์ และลิคเทนไสตน์ ตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในเช็งเก้น( Schengen ) ซึ่งประกันการเดินทางจะต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดคือ 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท * ท่านจะต้องแสดงสำเนาประกันการเดินทางของท่านประกอบการพิจารณาวีซ่า อีกทั้งท่านจะต้องถือประกันการเดินทางฉบับจริงติดตัวเวลาเดินทางเนื่องจากท่านอาจถูกตรวจสอบก่อนเข้าประเทศ*ค่าธรรมเนียมวีซ่าคือ 60 ยูโร(Euro) ซึ่งท่านจะต้องจ่ายเป็นเงินบาท ค่าธรรมเนียมจะถูกปรับเปลี่ยนตามอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในช่วงนั้นๆ หากวีซ่าของท่านถูกปฏิเสธท่านจะไม่ได้รับเงินคืน ทางสถานทูตขอแนะนำว่าทานไม่ควรจ่ายเงินค่าโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบิน ก่อนที่ท่านจะได้รับวีซ่า
จาก http://www.swedenabroad.com/Page____73907.aspx

เวลาทำการของแผนกวีซ่า (Opening Hours)
- วัน จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี และ ศุกร์ เวลา 8 นาฬิกา ถึง 12 นาฬิกา
- เป็นเวลาของการยื่นขอวีซ่า

สำหรับบุคคลที่ต้องการไปสวีเดนเพื่อเยี่ยมเพื่อน/ญาติและท่องเที่ยว บุคคลที่จะสามารถเข้ามายื่นขอในช่วงเวลานี้ได้ จะต้องได้มีการทำการนัดหมายเวลาเพื่อยื่น และมีคิวนัดไว้แล้วเท่านั้น

- วัน จันทร์ อังคาร และ พฤหัสบดี เวลา 14 นาฬิกา ถึง 15 นาฬิกา เป็นเวลาของ :¤ การยื่นขอวีซ่าสำหรับบุคคลที่ต้องการไปสวีเดนเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ หรือกรุ๊ปทัวร์ บุคคลที่จะสามารถเข้ามายื่นขอในช่วงเวลานี้ได้ จะต้องได้มีการทำการนัดหมายเวลาเพื่อยื่น และมีคิวนัดไว้แล้วเท่านั้น

¤การฟังผลวีซ่า และรับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) คืน¤ การสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับวีซ่า

¤ การนัดเวลาเพื่อเข้ามายื่นขอวีซ่า สำหรับบุคคลที่เลือกที่จะเข้ามานัดหมายเวลาด้วยตนเองกับทางสถานทูตแทนการโทรศัพท์นัดหมายเวลากับทาง 'คอลเซ็นเตอร์' (Call Center) a call centre on telephone number 1900 222 202

*** สำหรับการโทรศัพท์สอบถามโดยตรงกับแผนกวีซ่า ติดต่อได้ที่หมายเลข 02-2637211 ตั้งแต่ วัน จันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 14 นาฬิกา ถึง 15 นาฬิกา เท่านั้นจาก

http://www.swedenabroad.com/Page____73908.aspx-

ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 ทางสถานทูตสวีเดน กรุงเทพฯ จะรับการยื่นขอวีซ่าเช็งเก้นสำหรับผู้ที่ได้ทำการจองเวลาเพื่อยื่นขอเท่านั้น ซึ่งจะทำได้โดยผ่านการโทรศัพท์ไปยัง 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) สถานทูตหลายสถานทูตในกรุงเทพฯ ก็ได้มีการใช้ระบบนี้- 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) จะเปิดทำการระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 8 นาฬิกาถึง 19 นาฬิกา ระหว่าง เดือนมีนาคม ถึง เดือนตุลาคม ในส่วนของช่วงเดือนอื่นๆ ทาง'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) จะเปิดทำการระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 8 นาฬิกาถึง 17 นาฬิกา

- หน้าที่ของ 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) นอกเหนือไปจากการรับนัดเวลาเพื่อยื่นขอวีซ่าแล้วนั้น ยังสามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการขอวีซ่าเช็งเก้นได้ ส่วนผู้ที่ต้องการฟังข้อมูลการขอวีซ่าจากระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติของ 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) สามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งทาง 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) จะเก็บค่าธรรมเนียมในการโทรศัพท์ติดต่อคือ 9 บาทต่อนาที นอกจากจากนี้ 'คอลเซ็นเตอร์' (Call center) จะมีเวลาพิเศษให้สำหรับ การยื่นขอวีซ่าเช็งเก้นของ กรุ๊ปทัวร์และการขอวีซ่าเช็งเก้นสำหรับนักธุรกิจ

จาก http://www.swedenabroad.com/News____4847.aspx?slaveid=73307

Schengen Visa Application Fee Current application fee for Schengen visa : 2,900 Baht(ค่าธรรมเนียมสำหรับเช็งเก้นวีซ่า ณ ปัจจุบัน คือ 2,900 บาท) วีซ่าเช็งเก้นสำหรับการไปเยี่ยม แฟน หรือเพื่อนท่านจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ เพื่อมายื่นให้กับทางสถานทูตสวีเดนในวันยื่นขอวีซ่า ท่านจะต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาสวีดิชเท่านั้น อีกทั้งเอกสารใดๆที่เป็นภาษาไทย ให้แนบเอกสารที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากสำนักงานแปลที่ได้รับอนุญาตมาด้วย (เจ้าหน้าที่ของสถานทูตไม่สามารถช่วยท่านกรอกหรือแปลเอกสารใดๆทั้งสิ้นได้)

1. แบบฟอร์มขอเช็งเก้นวีซ่า
2. แบบฟอร์ม D – แสดงถึงสมาชิกในครอบครัว
3. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) หรือหนังสือเดินทางในรูปแบบอื่นๆที่มีอายุอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันที่ท่านตั้งใจที่จะเดินทางกลับจากสวีเดน และสำเนาหน้าแรก รวมถึงหน้าที่มีการต่ออายุหรือแก้ไขชื่อ/นามสกุล
4. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) เล่มเก่าหากท่านได้ทำการเปลี่ยนเล่มใหม่ภายในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
5. รูปถ่ายสี 2 นิ้วฉากหลังสีขาว ที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
6. สำเนาประกันการเดินทางที่จ่ายแล้ว (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้โปรดดูในหน้า การขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสวีเดน)
7. หลักฐานทางการเงิน (หากผู้ขอวีซ่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง) ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร หรือ สำเนาสมุดธนาคาร
8. หากผู้ขอทำงาน ให้นำจดหมายรับรองการทำงานมาแสดงด้วย
9. สำเนาใบจองตั๋วเครื่องบิน

*หากผู้ขอวีซ่ามีอายุต่ำกว่า 20 ปี โปรดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมใน รายละเอียด เกี่ยวกับเอกสารเพิ่มเติมที่ต้องนำมาเอกสารดังต่อไปนี้ผู้เชิญจะต้องเตรียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า ซึ่งทุกฉบับจะต้องมีอายุไม่เกิน 3 เดือน

1. เอกสารใบเชิญ E ซึ่งจะต้องเป็นฉบับจริงเท่านั้น
2.ใบทะเบียนราษฐ์ (Personbevis)
3. สำเนาหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต)หน้าแรก รวมถึงทุกหน้าที่มีการแสดงถึงการเข้า/ออกประเทศไทย
4.หากมีบุคคลสัญชาติไทยอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกับผู้รับรอง/ผู้เชิญ ให้แสดงใบทะเบียนราษฐ์ (Personbevis)ของบุคคลนั้นด้วย
5.หากผู้รับรอง/ผู้เชิญจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการพำนักอยู่ในประเทศสวีเดนของผู้ขอวีซ่า ผู้รับรอง/เชิญจะต้องแสดงหลักฐานทางการเงิน ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร, จดหมายรับรองการทำงานที่ระบุถึงรายได้ หรือจดหมายรับรองการรับบำนาญหมายเหตุ กรุณาอย่าทำการชำระเงินสำหรับการจองโรงแรม หรือตั๋วเครื่องบินจนกว่าท่านจะได้รับวีซ่าแล้ว

จาก http://www.swedenabroad.com/Page____18560.aspx

วีซ่าเช็งเก้นสำหรับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20ปี - นอกจากเอกสารหลักที่จะต้องนำมายื่นเพื่อขอวีซ่าเช็งเก้นแล้วนั้น บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีจะต้องแนบเอกสารเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

1. ผู้ปกครอง/อุปการะของผู้ขอ จะต้องเซ็นชื่อของตนในแบบฟอร์มแทนตัวผู้ขอเอง
2. สูติบัตรของผู้ขอ
3. เอกสารแสดงความยินยอมจากบิดาและมารดาให้ผู้ขอสามารถเดินทางไปประเทศสวีเดนได้ ซึ่งหากตัวผู้ขออยู่ในความ อุปการะของบิดา/มารดา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้ขอจะต้องแนบหลักฐานแสดงถึงความอุปการะบุตรมาด้วย เอกสารฉบับนี้จะต้องเป็นฉบับจริงซึ่งออกโดยสำนักงานเขต/อำเภอเท่านั้น ประกอบกับให้แนบสำเนาบัตรประชาชนของผู้อุปการะบุตรด้วย

จาก ttp://www.swedenabroad.com/Page____64355.aspx..................................................................................................................................

วีซ่าเช็งเก้นเพื่อไปเยี่ยมญาติ (Visa for visiting relatives)

- ท่านจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ เพื่อมายื่นให้กับทางสถานทูตสวีเดนในวันยื่นขอวีซ่า ท่านจะต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาสวีดิชเท่านั้น อีกทั้งเอกสารใดๆที่เป็นภาษาไทย ให้แนบเอกสารที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากสำนักงานแปลที่ได้รับอนุญาตมาด้วย (เจ้าหน้าที่ของสถานทูตไม่สามารถช่วยท่านกรอกหรือแปลเอกสารใดๆทั้งสิ้นได้)

1. แบบฟอร์มขอเช็งเก้นวีซ่า
2. แบบฟอร์ม D – แสดงถึงสมาชิกในครอบครัว
3. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) หรือหนังสือเดินทางในรูปแบบอื่นๆที่มีอายุอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันที่ท่านตั้งใจที่จะเดินทางกลับจากสวีเดน และสำเนาหน้าแรก รวมถึงหน้าที่มีการต่ออายุหรือแก้ไขชื่อ/นามสกุล
4. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) เล่มเก่าหากท่านได้ทำการเปลี่ยนเล่มใหม่ภายในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
5. รูปถ่ายสี 2 นิ้วฉากหลังสีขาว ที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
6. สำเนาประกันการเดินทางที่จ่ายแล้ว (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้โปรดดูในหน้า การขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสวีเดน)
7. เอกสารที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขอ และผู้รับรอง/เชิญ ดังเช่น สำเนาทะเบียนบ้านหรือทะเบียนราษฎร์ เป็นต้น
8. หลักฐานทางการเงิน (หากผู้ขอวีซ่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง) ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร หรือ สำเนาสมุดธนาคาร
9. หากผู้ขอทำงาน ให้นำจดหมายรับรองการทำงานมาแสดง
10. สำเนาใบจองตั๋วเครื่องบิน

* หากผู้ขอวีซ่ามีอายุต่ำกว่า 20 ปี โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมใน รายละเอียด เกี่ยวกับเอกสารเพิ่มเติมที่ต้องนำมา

**เอกสารดังต่อไปนี้ผู้รับรอง/ผู้เชิญจะต้องเตรียมสำหรับการยื่นขอวีซ่า ซึ่งทุกฉบับจะต้องมีอายุไม่เกิน 3 เดือน

1. แบบฟอร์ม E (ใบเชิญ) ซึ่งจะต้องเป็นฉบับจริงเท่านั้น
2. ใบทะเบียนราษฎร์ (Personbevis)
3. สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก รวมถึงทุกหน้าที่มีการแสดงถึงการเข้า/ออกประเทศไทย
4. หากมีบุคคลสัญชาติไทยอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกับผู้รับรอง/ผู้เชิญ ให้แสดงใบทะเบียนราษฎร์ (Personbevis) ของบุคคลนั้นด้วย
5. หากผู้รับรอง/ผู้เชิญ จะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการพำนักอยู่ในประเทศสวีเดนของผู้ขอวีซ่า ผู้รับรอง/เชิญจะต้องแสดงเอกสารยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร, จดหมายรับรองการทำงานที่ระบุถึงรายได้ หรือจดหมายรับรองการรับบำนาญวีซ่าเช็งเก้นสำหรับนักท่องเที่ยว (Visa for tourist purpose)

- ท่านจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ เพื่อมายื่นให้กับทางสถานทูตสวีเดนในวันยื่นขอวีซ่า ท่านจะต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาสวีดิชเท่านั้น อีกทั้งเอกสารใดๆที่เป็นภาษาไทย ให้แนบเอกสารที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากสำนักงานแปลที่ได้รับอนุญาตมาด้วย (เจ้าหน้าที่ของสถานทูตไม่สามารถช่วยท่านกรอกหรือแปลเอกสารใดๆทั้งสิ้นได้)

1. แบบฟอร์มขอเช็งเก้นวีซ่า
2. แบบฟอร์ม D – แสดงถึงสมาชิกในครอบครัว
3. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) หรือหนังสือเดินทางในรูปแบบอื่นๆที่มีอายุอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันที่ท่านตั้งใจที่จะเดินทางกลับจากสวีเดน และสำเนาหน้าแรก รวมถึงหน้าที่มีการต่ออายุหรือแก้ไขชื่อ/นามสกุล
4. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) เล่มเก่าหากท่านได้ทำการเปลี่ยนเล่มใหม่ภายในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา5. รูปถ่ายสี 2 นิ้วฉากหลังสีขาว ที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
6. สำเนาประกันการเดินทางที่จ่ายแล้ว (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้โปรดดูในหน้า การขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสวีเดน)
7. แผนการเดินทางโดยละเอียด ตลอดระยะเวลาการเดินทาง8. หลักฐานทางการเงิน ที่ครอบคลุมถึงระยะเวลาทั้งหมดในการเดินทาง ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร หรือ สำเนาสมุดธนาคาร9. หลักฐานทางการทำงาน ที่มีข้อความระบุจากทางบริษัทว่าบุคคลนี้ได้รับอนุญาตให้ลาพักงาน10. สำเนาใบจองโรงแรม และ ตั๋วเครื่องบิน

** หากผู้ขอวีซ่ามีอายุต่ำกว่า 20 ปี โปรดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมใน รายละเอียด เกี่ยวกับเอกสารเพิ่มเติมที่ต้องนำมาหมายเหตุ กรุณาอย่าทำการชำระเงินสำหรับการจองโรงแรม หรือตั๋วเครื่องบินจนกว่าท่านจะได้รับวีซ่าแล้วข้อมูล

จาก Embassy of Sweden in Bangkok : Visa for tourist purposeวีซ่าเช็งเก้น สำหรับนักธุรกิจ และสำหรับบุคคลที่จะไปประชุม (Visa for business or conference purpose)

- ท่านจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้เพื่อมายื่นให้กับทางสถานทูตสวีเดนในวันยื่นขอวีซ่า ท่านจะต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาสวีดิชเท่านั้น อีกทั้งเอกสารใดๆที่เป็นภาษาไทย ให้แนบเอกสารที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากสำนักงานแปลที่ได้รับอนุญาตมาด้วย (เจ้าหน้าที่ของสถานทูตไม่สามารถช่วยท่านกรอกหรือแปลเอกสารใดๆทั้งสิ้นได้)

1. ใบคำร้องขอเช็งเก้นวีซ่า
2. หนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) หรือหนังสือเดินทางในรูปแบบอื่นๆที่มีอายุอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันที่ท่านตั้งใจที่จะเดินทางกลับจากสวีเดน และสำเนาหน้าแรก รวมถึงหน้าที่มีการต่ออายุหรือแก้ไขชื่อ/นามสกุล
3. หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เล่มเก่า หากท่านได้ทำการเปลี่ยนเล่มใหม่ภายในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
4. รูปถ่ายสี 2 นิ้วฉากหลังสีขาว ที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
5. สำเนาประกันการเดินทางที่จ่ายแล้ว (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้โปรดดูในหน้า การขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสวีเดน)
6. ใบเชิญที่เขียนในกระดาษที่มีหัวกระดาษจากบริษัทหรือองค์กรที่จะไปติดต่อที่ประเทศสวีเดน ระบุถึงสาเหตุของการเดินทาง, ระยะเวลาและ ใครจะเป็นคนออกค่าใช้จ่าย
7. จดหมายรับรองการทำงานฉบับจริงจากบริษัทหรือองค์กรที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ที่เขียนลงในกระดาษที่มีหัวกระดาษของบริษัทหรือองค์กรนั้น ระบุถึงตำแหน่งงานและระยะเวลาการทำงาน รวมถึงการรับรองว่าท่านจะเดินทางไปสวีเดนด้วยเหตุผลทางธุรกิจเมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
8. หลักฐานทางการเงินสำหรับการเดินทางที่ครอบคลุมถึงระยะเวลาทั้งหมดที่จะอาศัยอยู่ในประเทศสวีเดน ดังเช่น หนังสือรับรองจากธนาคาร หรือ สำเนาสมุดธนาคาร
9. แผนการเดินทางโดยละเอียด
10. สำเนาใบจองโรงแรม และ ตั๋วเครื่องบิน ตลอดระยะเวลาเดินทางหากผู้ขอวีซ่ามีอายุต่ำกว่า 20 ปี โปรดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมใน รายละเอียด เกี่ยวกับเอกสารเพิ่มเติมที่ต้องนำมาหมายเหตุ กรุณาอย่าทำการชำระเงินสำหรับการจองโรงแรม หรือตั๋วเครื่องบินจนกว่าท่านจะได้รับวีซ่าแล้ว

ข้อมูลจาก Embassy of Sweden in Bangkok : Visa for business or conference purpose